ผีเสื้อราตรีที่ลักษมีโร้ด
ฉลอง สุขทอง : เรื่อง/ภาพ
ห้องสี่เหลี่ยมคับแคบ ขนาด 2.5 คูณ 3 เมตร เพดานต่ำปริ่มๆ กับระดับความสูง 180 เซนติเมตร ของผม วางซุกตัวอยู่บนชั้นสามของอาคารสูงสี่ชั้น พื้นผนังภายในห้องถูกฉาบทาด้วยสีฟ้าสดใส ลักษณะถูกแบ่งซอยต่อเติมขึ้นมาใหม่นับจำนวนได้สิบห้องเรียงรายเป็นแถวแนวถัดมาจากห้องโชว์สินค้า ทันทีที่ผมย่างกรายเข้ามาภายในกลิ่นไอแห่งความร้อนอ้าวอึดอัดก็แผ่สัมผัสไปทั่วร่าง ทั้งห้องไม่มีช่องระบายถ่ายเทอากาศ พัดลมเก่าๆ แบบติดผนังทำงานเต็มกำลังส่งเสียงครางดังโกรกกรากยามหมุนส่าย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเพราะมันเป็นเพียงการพัดพาเอาลมร้อนมาให้ พื้นห้องเบื้องล่างถูกเติมเต็มด้วยเตียงเหล็กขนาดเกือบเต็มพื้นที่พร้อมฟูกและผ้าปูที่นอนสีทึมๆ จนพื้นห้องแทบไม่มีที่ว่างหลงเหลือให้พอได้เดินหลบหลีก
เมื่อ “ปูตินา” เดินมาส่งผมที่ห้องเธอก็ขอตัวกลับออกไปเพื่อเตรียมอุปกรณ์บางอย่าง ผมจึงมีเวลาได้สำรวจตรวจตรากวาดสายตาไปรอบๆ ห้องซึ่งได้ชื่อว่าเป็นห้องรับแขก แต่ความจริงที่ได้รับรู้ภายหลัง ห้องนี้มีสถานะมากกว่านั้นเพราะมันเป็นทั้งที่ทำงานและที่พักของเธอและลูกในสลัมโสเภณี “ลักษมีโร้ด” แห่งเมืองปูน่า
ราวสิบนาทีก่อนหน้านี้ ในห้องโถงรวมซึ่งเปรียบเสมือนโชว์รูมสินค้าด้านหน้าสำนัก ทันทีที่แหวกผ้าม่านสีฟ้าหม่นเข้าไปผมก็เห็นเธอนั่งอยู่บนม้านั่งยาวคละเคล้าปะปนอยู่กับเพื่อนร่วมอาชีพอีกกว่า 20 ชีวิต แววตาที่ดูนิ่งและสงบสะดุดใจจนผมต้องหยุดพักสายตาไว้ที่เธอชั่วขณะ
การปรากฏตัวของผมและลูกค้าอื่นอีกสองสามรายที่เข้ามาไล่เลี่ยกันเปลี่ยนแปลงอิริยาบถของหญิงบริการจากกิจวัตรการงานตรงหน้าราวกับเป็นสัญชาตญาณ บางคนหันมาตะโกนส่งเสียงร้องทักพร้อมกับกวักมือเรียกและชี้ไปที่ตัวเองเพื่อชักชวนให้ขึ้นห้อง บางรายที่เหนียมอายเพียงแต่ใช้สายตาเชิญชวน แต่บางกลุ่มบางคนก็หาได้สนใจใส่ใจลูกค้าไม่คงสาละวนอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตาดูแลตัวเอง บางคู่ก็ดูแลเปียผมให้กัน
หญิงสาวอีกกลุ่มหนึ่งราว 5-6 คนยังไม่พร้อมจะรับแขก กำลังนั่งล้อมวงเปิบกินอาหารเย็นจากถาดข้าวใบใหญ่กลางพื้นห้อง กับข้าวที่เห็นมีเพียงน้ำแกงสีเหลืองๆ ทำจากถั่วเหลืองที่เรียกกันว่า “ดาล (Dhal)” ราดคลุกเคล้ากับข้าวพอให้ไม่ติดคอ มีจาปาตี 10-20 แผ่น วางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่บนถาดอีกใบหนึ่ง (จาปาตี คล้ายกับโรตีทำจากแป้งสาลีใช้ปิ้งจากกระทะแต่ไม่ใช้น้ำมัน)
แต่ที่กระทบใจผมอย่างแรงและคงบั่นทอนความคึกคะนองของนักเที่ยวคนอื่นๆ ลงด้วย เห็นจะเป็นทารกน้อยเนื้อตัวมอมแมม อายุไม่ถึงปีสองสามราย ที่คลานเล่นไปมาบนพื้นห้อง ส่งเสียงร้องงอแงให้เอาใจตามประสาเด็ก สัญชาตญาณบอกผมว่า เด็กน้อยเหล่านั้นคงเป็นผลิตผลบนความตั้งใจและไม่ตั้งใจของบรรดาหญิงบริการที่นี่
ภาพอย่างนี้เชื่อว่า น้อยนักที่นักเที่ยวในเมืองไทยจะมีโอกาสได้เห็น... เพราะความเรียบง่ายหรือความจัดเจนในเชิงธุรกิจ? ผมเพียงแต่คิดค้างไว้
ผมตื่นสะดุ้งเมื่อใครบางคนมาคว้าแขนและฉุดดึงลงไปนั่งบนม้ายาวใกล้ๆ กับปูตินา เจ้าของมือเป็นหญิงร่างท้วมอายุราว 40 ปี หน้าตาและลักษณะการแต่งกายบ่งบอกชัดว่าเธอไม่ใช่ชาวอินเดียพื้นเมืองในถิ่นแถบนี้ เข้าใจว่าน่าจะมาจากทิเบตหรือเนปาลมากกว่า หลังจากพ่นควันบุหรี่ห้วงสุดท้ายออกจากปากเธอหันมายิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร เผยให้เห็นฟันในปากซี่เล็กๆ สั้นๆ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบแต่สีของฟันออกแดงคล้ำเพราะฤทธิ์ของหมากหรือ “ปาน(paan)” ที่เธอและคนอินเดียทั่วไปนิยมเคี้ยวบวกกับคราบควันจากบุหรี่ เขี้ยวตรงมุมปากเลี่ยมทองไว้เหลืองอร่าม
“ฮินดี?” เธอคาดเดาถูกว่าผมไม่ใช่คนอินเดีย จึงถามทำนองว่าเข้าใจภาษาฮินดีไหม ถามพลางหันไปบ้วนน้ำหมากออกนอกหน้าต่าง ไม่แยแสสนใจว่าจะไปโดนใครเข้า
“ไน -ไม่ได้” ผมปฏิเสธเธอไปเท่าที่พอจะรู้ภาษาฮินดีอยู่บ้างคำสองคำ
คำตอบเสียงแปล่งของผมทำให้เธอหัวเราะออกมา ก่อนที่จะหันมาบอกกับกับปูตินาด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ ทำนองให้เป็นผู้ต้อนรับขับสู้ดูแล ก่อนที่จะหันเหไปทักทายลูกค้ารายใหม่
ประสบการณ์ที่มีติดตัวมา สอนผมให้รู้ว่าบทบาทของ มาม่าซังหรือคนเชียร์แขกมีความสำคัญมากเพียงใดต่อธุรกิจประเภทนี้ จนอาจกล่าวได้ว่าธุรกิจประเภทนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของมามาซัง เหมือนกับที่เตือนให้ผมระแวดระวังตัวทุกครั้งเมื่อมายังสถานบริการแบบอย่างว่า ด้วยในทุกๆ ที่มักจะมีกลุ่มแมงดาหรือนักเลงคุมซ่องที่คอยสร้างความรำคาญและอาจเป็นอันตรายแก่ลูกค้าที่มาเที่ยวหรือกับคนทั่วไปได้เสมอ
แต่สำหรับที่นี่ ลักษมีโร้ด ถนนสายโลกีย์แห่งเมืองปูน่า ผมแยกไม่ออกว่าผู้ชายที่เดินเข้าเดินออกในซอยเป็นบรรดานักเที่ยวที่มาหาความสุขหรือแมงดาคุมซ่อง ได้เพียงแต่คอยระวังตัวไว้
“ลักษมีโร้ด” เป็นชื่อถนนสายเล็กๆ ในย่านที่มีคนพลุกพล่านจอแจมากที่สุดแห่งหนึ่งกลางใจเมืองปูน่า ถนนเก่าแก่เส้นนี้ตัดผ่านหน้าพระราชวัง “Shanwarwada Palace” ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1736 ธุรกิจหลากหลายประเภทมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ ตามซอยต่างๆ ที่แยกออกจากถนนเส้นหลักมักประกอบธุรกิจคล้ายๆ กัน แบ่งแยกเป็นโซนๆ มีทั้งโซนเสื้อผ้า โซนอาหาร ผลไม้ และข้าวของเครื่องใช้เรียงรายกันไป หากสัญจรผ่านถนนลักษมีก็จะเห็นมีธุรกิจที่ว่ากระจัดกระจายอยู่ทั้งสองฟากฝั่งถนนคล้ายกับเป็น One-stop Shopping แห่งเมืองปูน่า
ธุรกิจโลกีย์ที่ลักษมีโร้ดครอบคลุมอาณาบริเวณ 3-4 ซอยต่อกัน แยกตัวออกมาไม่ไกลนักจากถนนใหญ่ ตัวตึกในซอยส่วนใหญ่เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้สภาพเก่าแก่ทรุดโทรมและต่อเติมไว้ระเกะระกะ สถานบริการเหล่านี้เปิดทั้งกลางวันและกลางคืนแทบจะไม่มีเวลาหยุดพักผ่อน ตกกลางคืนสีสันจากโคมไฟหลากสีละลานตาช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ยิ่งดูคึกคัก
ชายระเบียงชั้นบนของตัวตึกแต่ละหลังถูกออกแบบเหมือนเป็นกรง ทำจากเหล็กหรือไม้ ภาษาฮินดีเรียกว่า “ปัญชะระ” มีไว้เพื่ออวดโชว์สินค้า ซึ่งแต่ละสำนักนางโลมจะคัดเอาผู้หญิงที่สาวและสวยที่สุดมาอวดโฉม เสนอหน้าสลอนอยู่ในกรงที่เสมอกับแนวถนน คอยเรียกร้องเชื้อเชิญลูกค้าที่เดินผ่านไปมาให้แวะหา
มีผู้เปรียบเปรยว่า ลักษมีโร้ดยามกลางวันเปรียบได้กับสวรรค์ของนักช้อป ครั้นตกกลางคืนก็แปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์ของนักเที่ยว ผมไม่เห็นแย้งกับความคิดนี้แต่อย่างใด
“ขอถ่ายรูปได้ไหม”
ผมเปิดฉากการสนทนาเมื่อเธอกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่พูดเปล่าผมเปิดเป้สะพายหลังหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ชีพขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่ตัวเธอด้วยเกรงว่าภาษาอังกฤษที่เราสื่อสารกันอยู่นั้นอาจทำให้เธอไม่เข้าใจ
แทนคำตอบ เธอส่ายหน้ารุนแรงและโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนอธิบายบอกเหตุผลซ้ำด้วยภาษาอังกฤษซึ่งแข็งแรงเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้ (อากัปกิริยาส่ายหน้าเบาๆ ของคนอินเดียหมายถึงการตกลงเห็นด้วย แต่การส่ายหน้าอย่างรุนแรงมีสีหน้า แววตาและมือไม้ประกอบแสดงให้เรารู้ว่านั่นเป็นการปฏิเสธ)
ท่าทีและคำตอบของเธอทำให้ผมได้คิดต่อว่า การค้าบริการทางเพศ (Sex Trade) ในอินเดียก็คงไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศในเอเชีย ที่ธุรกิจนี้ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การเปิดเผยตัวตนกับคนแปลกหน้าย่อมไม่เป็นการดีแน่ จัดเป็นเศรษฐกิจนอกระบบหรือธุรกิจใต้ดิน (Underground Economies) เช่นเดียวกับการค้าอาวุธ การค้ายาเสพติด การพนัน หวยใต้ดินฯลฯ แต่มีมูลค่าการตลาดมากมายนับหมื่นล้านบาทต่อปี องค์กรแรงงานสากล (International Labor Organization : ILO) เคยยืนยันว่า ประเทศในเอเชียมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริการทางเพศประมาณ 2-14 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ
แนวคิดที่จะขุดเอาธุรกิจนี้ขึ้นมาอยู่บนดินและทำให้ถูกกฏหมายคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและเกี่ยวพันอยู่กับผู้ทรงอิทธิพลหลายกลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เจ้าของสถานบริการ นักค้ามนุษย์ ไปจนถึงนักเลงคุมซ่อง ซึ่งเคยได้ผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ อีกฟากหนึ่งในอินเดียเองกลุ่มสิทธิมนุษยชนกับกลุ่มสิทธิสตรี ก็ยังมีท่าทีไปกันคนละทางต่อสถานะของธุรกิจนี้ เต็มที่ก็คงดึงขึ้นมาได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ต่างไปจากอีกหลายๆ ประเทศ
หลังจากบอกพื้นเพและเป้าหมายการมาที่นี่ของตัวเองให้เธอฟังเพื่อแสดงความจริงใจต่อเธอ กับเงินอีก 500 รูปี ที่ผมควักและยื่นส่งให้เพื่อเป็นสินน้ำใจ เธอดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงและง่ายขึ้นต่อคำร้องขอ
“บ้านอยู่ไหน-ผมหมายถึงบ้านเกิด”
“เนปาล” เธอตอบเพียงสั้นๆ พลางก้มหน้าต่ำ
บนพื้นตรงมุมห้อง เป็นถังขยะสีดำ ก้นถังมีถุงยางอนามัยใช้แล้วจำนวนหนึ่งถูกห่อกระดาษทิ้งไว้อย่างลวก ๆ หล่นอยู่เกลื่อนพื้น ผสมผะเสกับคราบน้ำหมากที่นักเที่ยวบ้วนทิ้งไว้
อินเดียกับเนปาลเป็นเหมือนประเทศบ้านพี่เมืองน้องเช่นไทยกับลาว เนปาลอาศัยเมืองท่าของอินเดียรับและส่งสินค้าไปยังประเทศของตน ประชากรของสองประเทศหลั่งไหลไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ชาวเนปาลกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาฮินดีได้เนื่องจากอิทธิพลของสื่อ ประกอบกับอินเดียเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยและเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจของเอเชียใต้ แรงงานทุกประเภทจึงทะลักข้ามพรมแดนมาจากประเทศเพื่อนบ้านตามดีมานด์ของตลาด ซึ่งไม่เพียงแรงงานจากเนปาลเท่านั้น แต่รวมทั้งจากธิเบตที่มีปัญหาภายในประเทศ จากบังคลาเทศ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อินเดียจึงเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ในเอเชียใต้ให้น้องๆ ได้พึ่งพิง
จะว่าไปแล้วอินเดียเองก็มีปัญหามากมายที่ต้องแบกรับอยู่เช่นกัน อาทิ ปัญหาประชากรล้นประเทศ ตามติดมาด้วยปัญหาความยากจน กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของคนอินเดีย (อินเดียมีประชากรทั้งหมดประมาณ 1,100 ล้านคน) มีฐานะยากจน ในจำนวนนี้ราว 300-400 ล้านคน ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเงินประมาณวันละ 40 รูปี
นอกจากนั้น สถานะและชนชั้นของผู้คนในอินเดีย ซึ่งถูกแบ่งโดยชาติพันธุ์วรรณะและการนับถือศาสนาก็เป็นอุปสรรคสำคัญอีกอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ผลพวงจากจารีตประเพณีและความเชื่อทางศาสนาทำให้เพศหญิงในสังคมอินเดียคล้ายกับถูกกักกันไว้ในอีกสถานะหนึ่ง ผู้หญิงวรรณะต่ำในชนบทหรือในสลัม ชีวิตเธอจะถูกครอบงำและขีดเส้นให้เดินจนแทบไม่มีโอกาสได้เลือกทางเดินให้กับชีวิตตนเอง หญิงสาวอายุน้อยบางรายถูกบังคับให้แต่งงานกับชายสูงวัยที่มีฐานะดี หรือแต่งกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวตะวันออกกลาง บ้างก็ถูกพ่อแม่ตนเองหรือสามีบังคับให้ค้าประเวณีโดยขายให้กับซ่อง เพื่อนำเงินมาช่วยพยุงฐานะของครอบครัว
ส่วนหญิงสูงอายุและมีครอบครัวแล้ว ดังเช่นที่เคยตกเป็นข่าว หญิงในหมู่บ้านหนึ่งของเมือง “วัลลิวักกัม” ในรัฐทางตอนใต้จำต้องยอมแลกขายไตเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ของครอบครัว แม้การค้าขายอวัยวะของมนุษย์จะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งธุรกิจดังกล่าวได้ เช่นเดียวกับการค้าประเวณีที่ยังคงเป็นทางออกหนึ่งสำหรับสตรีอินเดียที่ไม่มีทางเลือก
ด้วยเหตุนี้ธุรกิจค้ากามจึงมีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่งตามเมืองใหญ่ๆ นับเนื่องไปจากชายฝั่งอ่าวเบงกอลจนจรดทะเลอาหรับ ตลาดนี้ไม่ได้หวงแหนไว้สำหรับสตรีอินเดียเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งขุดทองให้กับสตรีจากอีกหลายประเทศในภูมิภาค
เช่นเส้นทางชีวิตของเธอ... “ปูตินา” หญิงสาวจาก กาฎมัณฑุ (Katmandu) เนปาลกับอาชีพค้ากามในสลัมโสเภณีที่อินเดีย วันนั้นเธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวการผจญภัยที่ทรหดของชีวิตเล็กๆ จากหลืบลึกแห่งหุบผาหิมาลัยให้ฟัง…
เกือบสิบปีก่อนเธอเดินทางจาก กาฎมัณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ด้วยระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร มุ่งหน้าลงใต้ด้วยความสมัครใจตามคำชักชวนของเพื่อนและแรงหนุนส่งจากพ่อแม่เพื่อช่วยหาเงินมาจุนเจือครอบครัว โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองใหญ่มุมไบหรือบอมเบย์ เมืองใหญ่ชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันตกของอินเดีย
เธอเริ่มงานแรกที่นั่นด้วยตำแหน่งงานช่างสีในโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ สร้างรายได้ให้เธอวันละ 35 รูปี (ประมาณ 20 บาทกว่าๆ) แม้จะมีที่พอได้ซุกหัวนอนแต่ก็ไม่เพียงพอต่อการยังชีพอยู่ เธอจำต้องดิ้นรนหางานใหม่ งานใหม่ที่ได้คือคนรับใช้ในบ้านของผู้ดีมีการศึกษา ซึ่งที่นี่เองเธอมีโอกาสได้ฝึกเรียนภาษาอังกฤษไว้สื่อสารกับนายจ้าง แม้ความเป็นอยู่จะสบายแต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อภาระส่งเสียให้กับทางบ้าน สุดท้ายเธอจึงหนีออกมาเพื่อโอกาสข้างหน้าที่อาจดีกว่า แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ลูกโป่งชีวิตเธอจึงล่องลอยระเหเร่ร่อนไปเพราะไม่มีงาน สุดท้ายมาลงเอยที่อาชีพขายบริการอยู่ในย่านถนน “ฟอล์คแลนด์” ของมหานครมุมไบ
ที่นั่นเธอพบว่าเพื่อนร่วมอาชีพเกือบครึ่งหนึ่ง จากที่มีอยู่ทั้งหมดราว 50,000 คน เป็นเพื่อนร่วมชาติของเธอ จำนวนหนึ่งมาจากธิเบตและที่เหลือเป็นชาวอินเดียพื้นเมืองจากรัฐต่างๆ สังคมใหม่ที่นี่ทำให้เธอรับรู้ความจริงว่า เพื่อนร่วมอาชีพและร่วมชะตากรรมของเธอบางคนถูกนักค้าผู้หญิงล่อลวงมา บ้างก็ถูกสามีหรือพ่อแม่ขายให้กับซ่องโดยตรง
ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดทรุดโทรม การถูกทารุณ โรคเอดส์และโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ภาวะทุโภชนาการ และการขาดการรักษาพยาบาล ทำให้อายุของเหล่าหญิงขายบริการที่นี่มีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 50 ปี
เวลางานตามปกติของเธอเริ่มตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงเที่ยงคืนเศษโดยไม่มีวันหยุด วันหยุดอย่างเป็นทางการของเธอคือวันที่มีประจำเดือน เธอรับแขกเฉลี่ยวันละประมาณ 10 ราย ด้วยอัตราค่าบริการต่อครั้ง 100-150 รูปี ซึ่งเธอต้องแบ่งหารรายได้ครึ่งหนึ่งให้กับเจ้าของสำนักเพื่อเป็นค่าที่พักและอาหาร
เมื่อสี่ปีก่อนเธอวางแผนคุมกำเนิดผิดพลาดเกิดตั้งท้องขึ้นมา เป็นผลให้เธอต้องหยุดงานและขาดรายได้ไปนานร่วม 6 เดือน หลังคลอดเธอจึงพาลูกชายอพยพลงใต้มาปักหลักหาที่อยู่ที่ทำกินใหม่คือที่นี่ “ลักษมีโร้ด” ที่เธออยู่มาจนถึงทุกวันนี้
วันนี้ในวัยสามสิบเศษเธอยังคงทำงานหนักเช่นเดิม แม้ร่างกายจะทรุดโทรมลงไปมากด้วยโรคเกี่ยวกับภายในของสตรีที่เธอบอกว่าไม่รู้จะมาคร่าเอาชีวิตของเธอไปในวันไหน เธอจึงเลิกฝันถึงอนาคต คิดแค่มีชีวิตอยู่ชั่วโมงต่อชั่วโมง หวังเพียงหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงจิตใจทำให้เธอมีกำลังใจยืนหยัดอยู่ได้ก็คือ “บิเน” สายเลือดที่ได้มาจากความไม่ตั้งใจคนนั้น
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นแทรกจังหวะการสนทนา ปูตินาถลันเอี้ยวตัวหมุนลูกบิดประตูแง้มออก ทันใดสายตาของผมก็ไปประสานเข้ากับแววตาสุกใสของเด็กผู้ชายอันเป็นที่มาของเสียงเพียงชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่หนูน้อยอายุราว 4-5 ปี เนื้อตัวและเสื้อผ้ามอมแมมคนนั้นจะเบี่ยงตัวเองหลบไปอีกด้านของบานประตู หนูน้อยคงเห็นจนชินตาแล้วว่าเวลางานของแม่คือการอยู่กับชายแปลกหน้าในห้องพักของเขาและแม่ ดูท่าทางหากไม่จำเป็นหนูน้อยคงไม่อยากมารบกวนเวลาทำงานของแม่
“บิเน” เธอบอกผม หลังจากพูดคุยซุบซิบเชิงตำหนิกับหนูน้อยอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะควักหยิบเงินจำนวนหนึ่งยื่นส่งให้ จากนั้นได้ยินเสียงหนูน้อยวิ่งลงบันไดลับหายไป
ลำแสงแห่งวันเพิ่งจะเลือนหายจากขอบฟ้าไปไม่นาน ม่านแห่งราตรีกาลค่อยคืบคลานมาแทนที่ ดวงไฟในซอยเริ่มทอประกายแสงระยิบระยับสุกใสแข่งกับแสงแห่งดวงดาวตามองศาต่างๆ ของม่านฟ้ารูปวงโค้งสีมลังเมลือง ผีเสื้อราตรีนับหมื่นตัวโผล่ออกมาจากรวงรัง โบยบินอวดปีกงามฉวัดเฉวียนล้อแสงไฟ นักท่องราตรียามนี้เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง องศาแห่งความใคร่เริ่มไต่ทะยานพวยพุ่ง
กลางซอยที่ผู้คนพลุกพล่าน ผมพาตัวเองแหวกผ่านม่านนักเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่เดินสวนมา ด้วยอารมณ์ที่สรวลเสเฮฮาคึกคะนองดุจกระทิงเปลี่ยว คำร้องทักเชิญชวนของเหล่าผีเสื้อราตรียังดังออกมาจากสองฟากฝั่งถนน แต่ตัวผมเวลานั้นอาการคล้ายกับไร้ตัวตน ล่องลอยแหวกฝ่าไปราวกับกลุ่มควัน โสตสัมผัสลางเลือนเหมือนไม่ได้ยลยินสิ่งใด...
เรื่องราวและฉากชีวิตหลังประตูบานนั้นยังก้องกังวานอยู่ในทุกอณูของโสตประสาท!!
“ ถ้าวิถีชีวิตของคนเราเปรียบดั่งเส้นทาง…
ย่อมมีทั้ง...ขรุขระ ราบเรียบ...สั้นยาว แคบกว้าง…….
และมีทิศทางต่างกันไป
อย่าบอกว่าใครเลือกทางผิด คิดสั้น เมื่อเขาคนนั้น…….
อาจไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือก...”
ค่ำวันนั้น... ผมเดินตัวเบาออกมาจากซอยโลกีย์ที่ชื่อลักษมีโร้ด แต่ภายในใจและสมองกลับหนักอึ้ง!!!
วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
มนต์เสน่ห์มะม่วงอินเดีย
มนต์เสน่ห์มะม่วงอินเดีย
“ประเทศคุณไม่มีมะม่วงหรือไง?” วินิตเพื่อนสมัยเรียนชาวอินเดียเปิดประเด็นขึ้นมา เมื่อเห็นผมสั่งน้ำมะม่วงยี่ห้อโปรด “ฟรุตตี้” (Frooti) มาดื่มระหว่างมื้ออาหารเช่นทุกครั้งที่เรานัดทานข้าวกัน
“ก็มีอยู่ ต่ำน้ำมะม่วงรสชาติแบบนี้ กลิ่นนี้ และราคาอย่างนี้ มีเฉพาะที่นี่เพียงแห่งเดียว” ผมตอบไปตามความรู้สึก คำว่า “ที่นี่” ผมหมายถึง “อินเดีย” นั่นเอง
ว่าไปแล้วประสบการณ์เกี่ยวกับมะม่วงของผมมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะหนักไปในด้านการเป็นนักบริโภคเสียมากกว่า มะม่วงสุกเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานมากที่สุด มะม่วงน้ำดอกไม้ หรืออกร่องทองนอกฤดูกาล ราคาขายกิโลกรัมละเกือบร้อยบาทก็เคยซื้อมาแล้ว เมืองไทยเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้มากที่สุดประเทศหนึ่ง เรามีผลไม้หลากหลายแตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะมะม่วง ปลูกกันได้ในทุกภูมิภาคของประเทศ เรามีการพัฒนาพันธุ์ไว้หลายสายพันธุ์ ทั้งประเภทไว้กินดิบ กินสุก หรือกินสุก ๆ ดิบๆ ก็ตามแต่ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่ไม่เป็นรองชาติใด
หันมามองทางด้านการแปรรูปกันบ้าง คนไทยเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องการถนอมอาหารมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เราชำนาญในการทำอาหารแห้ง อาหารกระป๋อง ของหมักดองต่าง ๆ รวมทั้งการดัดแปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างอื่น ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่าพืชผลที่เราผลิตได้มีมากเกินที่จะบริโภคได้ทันนั่นเอง อย่างเช่นมะม่วงขณะยังดิบสามารถทำเป็น มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม นำมาใส่แทนมะนาวหรือมะขามในแกงส้ม ฯลฯ ครั้งเมื่อสุก เรานำมาทำเป็นของหวานข้าวเหนียวมะม่วง แปรรูปเป็นน้ำมะม่วง มะม่วงแผ่น มะม่วงกวน มะม่วงอบแห้ง ฯลฯ
พอผมมีโอกาสได้มาเที่ยวและใช้ชีวิตอยู่ในอินเดียบ้างตามวาระและโอกาส ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม คือ ชอบหาดูของชอบของโปรดตามย่านร้านตลาดต่าง ๆ แถบถิ่นที่ได้ไปเยือนพบว่าอินเดียก็มีผลไม้นานาชนิดไม่น้อยหน้าชาติใดเช่นเดียวกัน กล้วยหอมมีวางขายในตลาดทุกฤดูกาล (กล้วยที่นี่มักขายกันเป็นลูก ๆ จะซื้อยกหวีก็ต้องนับจำนวนลูกก่อนเพื่อสะดวกในการคำนวณราคาที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคนเดินถนนทั่ว ๆ ไป ซื้อกินเพียงครั้งละลูกสองลูกเท่านั้น) องุ่นมีขายมากหน้าร้อน เป็นองุ่นดำและเขียวชนิดไม่มีเมล็ด ราคาเริ่มต้นตั้งแต่กิโลกรับละ 10 รูปีขึ้นไป เรียกว่าถูกสุด ๆ ชนิดที่ต้องเหมาซื้อเป็นเข่งเอามาหมักทำไวน์ (เป็นภูมิปัญญาของคนไทยไกลบ้าน)
ทับทิมเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่อุดมสมบูรณ์หลายสายพันธุ์ มีทั้งที่เหมือนและแตกต่างไปจากบ้านเรา พันธุ์ที่ได้รับความนิยมมีลักษณะเปลือกนอกสีแดงอมม่วง ขนาดผลไม้ใหญ่นัก เนื้อข้างในเป็นสีของทับทิมจริง ๆ (เพื่อนผมชอบพูดว่าสีแดงเหมือนเลือด ซึ่งเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน) แบบที่นำมาทำเครื่องประดับอย่างไรอย่างนั้น รสชาติหวานสนิท หากมีที่ว่างในกระเป๋าเหลือพอผมเป็นต้องหอบกลับมาฝากมิตรสหายให้ได้ลิ้มลองกันแทบทุกครั้ง
สำหรับมะม่วงนั้น ภาษาฮินดูเรียกว่า “อาม” (Am) คนอินเดียถือว่าเป็น “สุดยอดของผลไม้เขตร้อน” (Tropical fruit) ในสมัยราชวงค์โมกุลเรืองอำนาจ มะม่วงได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุดยอดผลไม้ของอินเดีย” (Finest fruit of Hindustan) เพราะมีมะม่วงอยู่มากมายในรัฐอุตตรประเทศ ดินแดนที่จักรวรรดิโมกุลเคยรุ่งเรืองมาก่อน
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ฉันน้ำมะม่วง น้ำกล้วยได้ในยามเย็น ด้วยถือว่าเป็นน้ำปานะอย่างหนึ่ง
ปัจจุบันตามงานเทศกาลรื่นเริงหรืองานมงคลต่าง ๆ เราจะเห็นชาวอินเดียนำใบมะม่วงผูกเรียงร้อยกันเป็นธงประดับประดาอาคารสถานที่หรือบ้านเรือน ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้เจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ จะเห็นได้ว่ามะม่วงเกี่ยวพันอยู่กับชีวิตของชาวอินเดียมานานตั้งอดีตจวบจนปัจจุบัน
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ เกือบทุกรัฐสามารถปลูกมะม่วงได้ดี สายพันธ์มะม่วงจึงมีหลากหลาย เท่าที่มีการสำรวจพบว่าสายพันธุ์ของมะม่วงที่ปลูกในอินเดียอยู่ประมาณ 1,000 สายพันธุ์ ในการตั้งชื่อสายพันธุ์มะม่วงของอินเดียมาจากหลายปัจจัย เช่น ตั้งชื่อตามราชวงศ์ สถานที่ปลูกขนาดและรูปทรงของผล รสชาติ สี และฤดูกาลที่ผลิต เป็นต้น
สายพันธ์มะม่วงที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้น ๆ ของอินเดีย ได้แก่ “พันธุ์อัลฟองโซ” (Alphonso) ปลูกกันมากในรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) แถบเมืองรัตนคีรี (Ratnagiri) ห่างจากบอมเบย์ลงไปทางใต้ราว 500 กิโลเมตร ถือว่าเป็นสุดยอดของสายพันธ์มะม่วงในอินเดียในปัจจุบัน ราคาขายในตลาดราวกิโลกรับละ 200 รูปี (ปัจจุบันหนึ่งรูปีมีค่าประมาณเก้าสิบสตางค์)
ส่วนสายพันธุ์ Dussehri ชื่อนี้มีชื่อเสียงมานาน ปลูกกันทั่วไปในรัฐอุตตรประเทศ บริเวณรอบ ๆ เมืองลักเนา (Luck now) เมืองหลวงของรัฐ ส่วนพันธุ์ Langra เป็นที่นิยมและรู้จักดีของตลาดต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง นิยมปลูกกันมากที่เมืองเชานปุระ (Jaunpur) ทางที่ราบตอนบนของประเทศไม่ไกลจากเมืองพาราณสี นอกจานี้ยังมีพันธุ์อื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน ได้แก่ Banganapalle, Safeda, Neelam, Chausa ฯลฯ
ปี พ.ศ.2537 อินเดียได้เป็นเจ้าภาพจัดประกวดพันธุ์มะม่วงระดับนานาชาติครั้งที่ 8 ที่กรุงนิวเดลี ซึ่งการประกวดครั้งนั้นพบว่ามะม่วงอินเดียพันธุ์ Rajawalla มีขนาดใหญ่ที่สุด คือมีน้ำหนักมากกว่าสองกิโลกรัม และพบมะม่วงที่มีผลเล็กที่สุดคือพันธุ์ Moti Dana มีน้ำหนักเฉลี่ยน้อยกว่าสองกรัม
ในปีหนึ่ง ๆ นั้น อินเดียผลิตมะม่วงรวมกันได้ประมาณ 150,000 ตัน นับเป็นผู้ผลิตมะม่วงรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% ของมะม่วงที่ผลิตได้จากทั่วโลกรวมกัน รองลงมาคือ จีน ผลิตได้ประมาณ 40,000 ตัน ส่วนตลาดส่งออกมะม่วงที่สำคัญของอินเดีย คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และยุโรป
เมื่อมีการผลิตมะม่วงได้มากมายขนาดนี้ก็จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าการแปรรูปผลผลิตเพื่อหาหนทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กรณีมะม่วงดิบ ผมไม่เคยเห็นคนอินเดียกินมะม่วงดิบแบบคนไทยกินกัน คือกินเล่นเปล่า ๆ กินกับน้ำปลาหวานหรือจิ้มกับเกลือ แต่คนอินเดียจะนำมะม่วงดิบมาสับเป็นชิ้น ๆ ใส่พริกเครื่องเทศบางอย่างลงไปแล้วหมักทิ้งไว้ เรียกกันว่า “Pickle” หรือ “Chutney” เป็นเครื่องเคียงที่มีรสจัดเอาไว้ทานกับโรฏีหรือปาตี ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกครัวเรือน เช่นเดียวกับน้ำพริกหรือน้ำปลาในบ้านเรา นอกจากนั้นยังนำมาสกัดทำเป็นน้ำผลไม้บรรจุขวดขาย (น้ำมะม่วงดิบ) เช่นเดียวกับน้ำฝรั่งหรือน้ำแอปเปิลทั่ว ๆ ไป
ส่วนมะม่วงสุกนิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำมะม่วงสีเหลืองปนส้มบรรจุขวดและกระป๋องขาย มีทั้งแบบเข้มข้นมากและเข้มข้นน้อย น้ำมะม่วงสุกได้รับการต้อนรับอย่างดีทั้งจากผู้บริโภคชาวอินเดียเองและตลาดต่างประเทศ มีการเสิร์ฟน้ำมะม่วงในเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินแอร์อินเดีย มีน้ำมะม่วงสุกหลายยี่ห้อแข่งขันกันอยู่ในตลาด ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากเป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ Maaza, Duke และ Frooti มีมูลค่าตลาดต่อปีรวมกันนับพันล้านรูปี
ผมพบเจอความแปลกบางอย่างเกี่ยวกับการกินมะม่วงสุกของคนที่นี่ กล่าวคือในหมู่คนเดินถนนทั่ว ๆ ไป (ไม่อยากระบุว่าเป็นคนชั้นต่ำ) เมื่อซื้อหามะม่วงสุกมาได้แล้วลูกสองลูก ก็จัดการบีบคลึงเพื่อให้เนื้อมะม่วงข้างในเหลวเป็นน้ำเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยเจาะเปลือกมะม่วงตรงขั้วออกแล้วจึงดูดน้ำกิน ไม่เห็นเขาต้องเดือดร้อนวิ่งหามีดมาปอกให้เสียเวลาประการใด พฤติกรรมเช่นว่านี้ช่างสอดคล้องกับของพี่น้องอีสานบ้านเฮาเสียเหลือเกิน เมื่อสมัยเป็นเด็กเราก็กินมะม่วงป่าที่หาเก็บมาได้ด้วยวิธีการเดียวกันนี่แหละ บางครั้งเมื่อเอาเมล็ดออกแล้วยังยัดข้าวเหนียวใส่เข้าไปแทน กินเล่นเป็นของหวานและอยู่ท้องดีทีเดียว
บอกไม่ได้เหมือนกันว่าพฤติกรรมการกินมะม่วงแบบนี้ใครเป็นต้นแบบ ใครลอกแบบใครมา
ครั้นผมมีโอกาสได้นั่งในภัตตาคารหรู จึงทดลองสั่งมะม่วงสุกมาชิมดูบ้าง ปรากฏว่ามะม่วงที่บริกรนำมาเสิร์ฟให้อยู่ในลักษณะที่ยังไม่ได้ปอกเปลือก เพียงแต่หั่นครึ่งลูกตามแนวขวางจนรอบ พร้อมกับแนบช้อนขนาดเล็กแต่ใหญ่กว่าช้อนชงกาแฟนิดหน่อยเคียงคู่มาด้วย จนผมต้องหันไปถามย้ำกับบริการถึงวิธีการกินจึงได้ความกระจ่างว่าการหั่นมะม่วงตรงกลางก็เพื่อให้สามารถบิดดึงแยกออกจากกันได้ ต่อจากนั้นจึงใช้ช้อนคว้านแซะตักกินเนื้อมะม่วงที่อยู่ภายในให้เหลือไว้แค่เปลือกกับเมล็ด
เป็นเกร็ดความรู้ใหม่ที่ผมคิดไว้ในใจว่าจะนำมาเผยแพร่ในบ้านเราดูบ้างเหมือนกัน
กล่าวถึงความโดดเด่นที่เป็นจุดขายของมะม่วงอินเดีย จากการไปพิสูจน์ลิ้มลองรสชาติมาด้วยตัวเอง ผมยืนยันได้ว่ามะม่วงหลายสายพันธุ์ของที่นี่สมแล้วกับที่งอกงามอยู่บนดินแดนแห่งกลิ่มอายและมีสีสันอย่างอินเดีย เพราะมีคุณสมบัติพรั่งพร้อม ทั้งรสชาติและความหอมหวาน รูปทรง และสีสันของผลไม้ที่งดงามสะดุดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พันธุ์อัลฟองโซ มะม่วงยอดนิยมของคนอินเดีย นอกจากจะให้รสชาติที่หอมหวานชื่นใจแล้วสีของผลยังสุกปลั่งเป็นสีส้มสด เชิญชวนให้น่าลิ้มลองยิ่งนัก
ใครอยากรู้ว่ามะม่วงพันธุ์นี้ได้รับความนิยมในตลาดโลกขนาดไหน ลองพิมพ์คำว่า “Alphonso Mango” .ใน www.google.com รวมทั้งใน amazon.com ด้วย จะพบเว็บไซต์ผู้ผลิตน้ำมะม่วงชนิดเข้มขน (mango pulp) ส่งขายต่างประเทศมากมาย
ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการเกษตรก้าวหน้า และทันสมัยมากขึ้น คนอินเดียจึงสามารถมีมะม่วงกินได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูกาลจริง ๆ ของมะม่วง (สุก) อยู่ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี ช่วงนี้แผงขายผลไม้หลายจุดของเมืองจะดูเหลืองอร่ามไปด้วยมะม่วง บ้างก็วางขายอยู่ในรถเข็นเป็นแผงลอยเคลื่อนที่ บ้างก็ใส่ไว้ในเข่งเหนือศีรษะเที่ยวตะลอนขายไปตามถนนและย่านชุมชน
แต่อุปสรรคสำคัญที่ลูกค้าแฟนพันธุ์แท้เช่นเราเจอบ่อยคือ ไม่ว่าจะซื้อมากซื้อน้อยเพียงใดส่วนลดที่ได้แทบจะไม่เคยเจอเพราะคนอินเดียทั้งหลายส่วนใหญ่ขายในราคา “Fixed Price” ตายตัว ยิ่งกว่าราคาของในสรรพสินค้า อาจมีน้ำใจยึดหยุ่นให้บ้างเพียงแค่ปาดให้ลองชิมชิ้นสองชิ้น ต้องโชคดีเป็นพิเศษจึงจะได้เจอพ่อค้าใจดียอมลดราคาหรือแถมให้ หากอยากได้ของแถมหรือส่วนลดก็ต้องใช้ความสามารถทู่ชี้กล่อมเกลากันนานหน่อย (มีข้อแม้ว่า...คุณเองอย่ายอมถอดใจไปเสียก่อนหละ) หรือไม่งั้นก็ต้องงัดเอากลยุทธ์ขั้นสุดยอดมาใช้ ด้วยการต่อราคาเสร็จแล้วเดินหนีทำทีไม่สนใจจึงจะสำเร็จ
อย่างไรก็ตามทุกครั้งก็ไม่วายซื้อมา ที่หนักไปกว่านั้นบางคราวยังซื้อหอบหิ้วทั้งผลสุก ผลดิบ และน้ำมะม่วง ขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยเป็นของฝากญาติมิตรอีกต่างหาก
จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อต้องมนต์เสน่ห์มะม่วงอินเดียเข้าให้แล้ว
ฉลอง สุขทอง เรื่อง
“ประเทศคุณไม่มีมะม่วงหรือไง?” วินิตเพื่อนสมัยเรียนชาวอินเดียเปิดประเด็นขึ้นมา เมื่อเห็นผมสั่งน้ำมะม่วงยี่ห้อโปรด “ฟรุตตี้” (Frooti) มาดื่มระหว่างมื้ออาหารเช่นทุกครั้งที่เรานัดทานข้าวกัน
“ก็มีอยู่ ต่ำน้ำมะม่วงรสชาติแบบนี้ กลิ่นนี้ และราคาอย่างนี้ มีเฉพาะที่นี่เพียงแห่งเดียว” ผมตอบไปตามความรู้สึก คำว่า “ที่นี่” ผมหมายถึง “อินเดีย” นั่นเอง
ว่าไปแล้วประสบการณ์เกี่ยวกับมะม่วงของผมมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะหนักไปในด้านการเป็นนักบริโภคเสียมากกว่า มะม่วงสุกเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานมากที่สุด มะม่วงน้ำดอกไม้ หรืออกร่องทองนอกฤดูกาล ราคาขายกิโลกรัมละเกือบร้อยบาทก็เคยซื้อมาแล้ว เมืองไทยเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้มากที่สุดประเทศหนึ่ง เรามีผลไม้หลากหลายแตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะมะม่วง ปลูกกันได้ในทุกภูมิภาคของประเทศ เรามีการพัฒนาพันธุ์ไว้หลายสายพันธุ์ ทั้งประเภทไว้กินดิบ กินสุก หรือกินสุก ๆ ดิบๆ ก็ตามแต่ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่ไม่เป็นรองชาติใด
หันมามองทางด้านการแปรรูปกันบ้าง คนไทยเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องการถนอมอาหารมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เราชำนาญในการทำอาหารแห้ง อาหารกระป๋อง ของหมักดองต่าง ๆ รวมทั้งการดัดแปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างอื่น ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่าพืชผลที่เราผลิตได้มีมากเกินที่จะบริโภคได้ทันนั่นเอง อย่างเช่นมะม่วงขณะยังดิบสามารถทำเป็น มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม นำมาใส่แทนมะนาวหรือมะขามในแกงส้ม ฯลฯ ครั้งเมื่อสุก เรานำมาทำเป็นของหวานข้าวเหนียวมะม่วง แปรรูปเป็นน้ำมะม่วง มะม่วงแผ่น มะม่วงกวน มะม่วงอบแห้ง ฯลฯ
พอผมมีโอกาสได้มาเที่ยวและใช้ชีวิตอยู่ในอินเดียบ้างตามวาระและโอกาส ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม คือ ชอบหาดูของชอบของโปรดตามย่านร้านตลาดต่าง ๆ แถบถิ่นที่ได้ไปเยือนพบว่าอินเดียก็มีผลไม้นานาชนิดไม่น้อยหน้าชาติใดเช่นเดียวกัน กล้วยหอมมีวางขายในตลาดทุกฤดูกาล (กล้วยที่นี่มักขายกันเป็นลูก ๆ จะซื้อยกหวีก็ต้องนับจำนวนลูกก่อนเพื่อสะดวกในการคำนวณราคาที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคนเดินถนนทั่ว ๆ ไป ซื้อกินเพียงครั้งละลูกสองลูกเท่านั้น) องุ่นมีขายมากหน้าร้อน เป็นองุ่นดำและเขียวชนิดไม่มีเมล็ด ราคาเริ่มต้นตั้งแต่กิโลกรับละ 10 รูปีขึ้นไป เรียกว่าถูกสุด ๆ ชนิดที่ต้องเหมาซื้อเป็นเข่งเอามาหมักทำไวน์ (เป็นภูมิปัญญาของคนไทยไกลบ้าน)
ทับทิมเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่อุดมสมบูรณ์หลายสายพันธุ์ มีทั้งที่เหมือนและแตกต่างไปจากบ้านเรา พันธุ์ที่ได้รับความนิยมมีลักษณะเปลือกนอกสีแดงอมม่วง ขนาดผลไม้ใหญ่นัก เนื้อข้างในเป็นสีของทับทิมจริง ๆ (เพื่อนผมชอบพูดว่าสีแดงเหมือนเลือด ซึ่งเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน) แบบที่นำมาทำเครื่องประดับอย่างไรอย่างนั้น รสชาติหวานสนิท หากมีที่ว่างในกระเป๋าเหลือพอผมเป็นต้องหอบกลับมาฝากมิตรสหายให้ได้ลิ้มลองกันแทบทุกครั้ง
สำหรับมะม่วงนั้น ภาษาฮินดูเรียกว่า “อาม” (Am) คนอินเดียถือว่าเป็น “สุดยอดของผลไม้เขตร้อน” (Tropical fruit) ในสมัยราชวงค์โมกุลเรืองอำนาจ มะม่วงได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุดยอดผลไม้ของอินเดีย” (Finest fruit of Hindustan) เพราะมีมะม่วงอยู่มากมายในรัฐอุตตรประเทศ ดินแดนที่จักรวรรดิโมกุลเคยรุ่งเรืองมาก่อน
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ฉันน้ำมะม่วง น้ำกล้วยได้ในยามเย็น ด้วยถือว่าเป็นน้ำปานะอย่างหนึ่ง
ปัจจุบันตามงานเทศกาลรื่นเริงหรืองานมงคลต่าง ๆ เราจะเห็นชาวอินเดียนำใบมะม่วงผูกเรียงร้อยกันเป็นธงประดับประดาอาคารสถานที่หรือบ้านเรือน ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้เจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ จะเห็นได้ว่ามะม่วงเกี่ยวพันอยู่กับชีวิตของชาวอินเดียมานานตั้งอดีตจวบจนปัจจุบัน
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ เกือบทุกรัฐสามารถปลูกมะม่วงได้ดี สายพันธ์มะม่วงจึงมีหลากหลาย เท่าที่มีการสำรวจพบว่าสายพันธุ์ของมะม่วงที่ปลูกในอินเดียอยู่ประมาณ 1,000 สายพันธุ์ ในการตั้งชื่อสายพันธุ์มะม่วงของอินเดียมาจากหลายปัจจัย เช่น ตั้งชื่อตามราชวงศ์ สถานที่ปลูกขนาดและรูปทรงของผล รสชาติ สี และฤดูกาลที่ผลิต เป็นต้น
สายพันธ์มะม่วงที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้น ๆ ของอินเดีย ได้แก่ “พันธุ์อัลฟองโซ” (Alphonso) ปลูกกันมากในรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) แถบเมืองรัตนคีรี (Ratnagiri) ห่างจากบอมเบย์ลงไปทางใต้ราว 500 กิโลเมตร ถือว่าเป็นสุดยอดของสายพันธ์มะม่วงในอินเดียในปัจจุบัน ราคาขายในตลาดราวกิโลกรับละ 200 รูปี (ปัจจุบันหนึ่งรูปีมีค่าประมาณเก้าสิบสตางค์)
ส่วนสายพันธุ์ Dussehri ชื่อนี้มีชื่อเสียงมานาน ปลูกกันทั่วไปในรัฐอุตตรประเทศ บริเวณรอบ ๆ เมืองลักเนา (Luck now) เมืองหลวงของรัฐ ส่วนพันธุ์ Langra เป็นที่นิยมและรู้จักดีของตลาดต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง นิยมปลูกกันมากที่เมืองเชานปุระ (Jaunpur) ทางที่ราบตอนบนของประเทศไม่ไกลจากเมืองพาราณสี นอกจานี้ยังมีพันธุ์อื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน ได้แก่ Banganapalle, Safeda, Neelam, Chausa ฯลฯ
ปี พ.ศ.2537 อินเดียได้เป็นเจ้าภาพจัดประกวดพันธุ์มะม่วงระดับนานาชาติครั้งที่ 8 ที่กรุงนิวเดลี ซึ่งการประกวดครั้งนั้นพบว่ามะม่วงอินเดียพันธุ์ Rajawalla มีขนาดใหญ่ที่สุด คือมีน้ำหนักมากกว่าสองกิโลกรัม และพบมะม่วงที่มีผลเล็กที่สุดคือพันธุ์ Moti Dana มีน้ำหนักเฉลี่ยน้อยกว่าสองกรัม
ในปีหนึ่ง ๆ นั้น อินเดียผลิตมะม่วงรวมกันได้ประมาณ 150,000 ตัน นับเป็นผู้ผลิตมะม่วงรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 52% ของมะม่วงที่ผลิตได้จากทั่วโลกรวมกัน รองลงมาคือ จีน ผลิตได้ประมาณ 40,000 ตัน ส่วนตลาดส่งออกมะม่วงที่สำคัญของอินเดีย คือ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และยุโรป
เมื่อมีการผลิตมะม่วงได้มากมายขนาดนี้ก็จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าการแปรรูปผลผลิตเพื่อหาหนทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กรณีมะม่วงดิบ ผมไม่เคยเห็นคนอินเดียกินมะม่วงดิบแบบคนไทยกินกัน คือกินเล่นเปล่า ๆ กินกับน้ำปลาหวานหรือจิ้มกับเกลือ แต่คนอินเดียจะนำมะม่วงดิบมาสับเป็นชิ้น ๆ ใส่พริกเครื่องเทศบางอย่างลงไปแล้วหมักทิ้งไว้ เรียกกันว่า “Pickle” หรือ “Chutney” เป็นเครื่องเคียงที่มีรสจัดเอาไว้ทานกับโรฏีหรือปาตี ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกครัวเรือน เช่นเดียวกับน้ำพริกหรือน้ำปลาในบ้านเรา นอกจากนั้นยังนำมาสกัดทำเป็นน้ำผลไม้บรรจุขวดขาย (น้ำมะม่วงดิบ) เช่นเดียวกับน้ำฝรั่งหรือน้ำแอปเปิลทั่ว ๆ ไป
ส่วนมะม่วงสุกนิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำมะม่วงสีเหลืองปนส้มบรรจุขวดและกระป๋องขาย มีทั้งแบบเข้มข้นมากและเข้มข้นน้อย น้ำมะม่วงสุกได้รับการต้อนรับอย่างดีทั้งจากผู้บริโภคชาวอินเดียเองและตลาดต่างประเทศ มีการเสิร์ฟน้ำมะม่วงในเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินแอร์อินเดีย มีน้ำมะม่วงสุกหลายยี่ห้อแข่งขันกันอยู่ในตลาด ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากเป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ Maaza, Duke และ Frooti มีมูลค่าตลาดต่อปีรวมกันนับพันล้านรูปี
ผมพบเจอความแปลกบางอย่างเกี่ยวกับการกินมะม่วงสุกของคนที่นี่ กล่าวคือในหมู่คนเดินถนนทั่ว ๆ ไป (ไม่อยากระบุว่าเป็นคนชั้นต่ำ) เมื่อซื้อหามะม่วงสุกมาได้แล้วลูกสองลูก ก็จัดการบีบคลึงเพื่อให้เนื้อมะม่วงข้างในเหลวเป็นน้ำเสียก่อน จากนั้นก็ค่อยเจาะเปลือกมะม่วงตรงขั้วออกแล้วจึงดูดน้ำกิน ไม่เห็นเขาต้องเดือดร้อนวิ่งหามีดมาปอกให้เสียเวลาประการใด พฤติกรรมเช่นว่านี้ช่างสอดคล้องกับของพี่น้องอีสานบ้านเฮาเสียเหลือเกิน เมื่อสมัยเป็นเด็กเราก็กินมะม่วงป่าที่หาเก็บมาได้ด้วยวิธีการเดียวกันนี่แหละ บางครั้งเมื่อเอาเมล็ดออกแล้วยังยัดข้าวเหนียวใส่เข้าไปแทน กินเล่นเป็นของหวานและอยู่ท้องดีทีเดียว
บอกไม่ได้เหมือนกันว่าพฤติกรรมการกินมะม่วงแบบนี้ใครเป็นต้นแบบ ใครลอกแบบใครมา
ครั้นผมมีโอกาสได้นั่งในภัตตาคารหรู จึงทดลองสั่งมะม่วงสุกมาชิมดูบ้าง ปรากฏว่ามะม่วงที่บริกรนำมาเสิร์ฟให้อยู่ในลักษณะที่ยังไม่ได้ปอกเปลือก เพียงแต่หั่นครึ่งลูกตามแนวขวางจนรอบ พร้อมกับแนบช้อนขนาดเล็กแต่ใหญ่กว่าช้อนชงกาแฟนิดหน่อยเคียงคู่มาด้วย จนผมต้องหันไปถามย้ำกับบริการถึงวิธีการกินจึงได้ความกระจ่างว่าการหั่นมะม่วงตรงกลางก็เพื่อให้สามารถบิดดึงแยกออกจากกันได้ ต่อจากนั้นจึงใช้ช้อนคว้านแซะตักกินเนื้อมะม่วงที่อยู่ภายในให้เหลือไว้แค่เปลือกกับเมล็ด
เป็นเกร็ดความรู้ใหม่ที่ผมคิดไว้ในใจว่าจะนำมาเผยแพร่ในบ้านเราดูบ้างเหมือนกัน
กล่าวถึงความโดดเด่นที่เป็นจุดขายของมะม่วงอินเดีย จากการไปพิสูจน์ลิ้มลองรสชาติมาด้วยตัวเอง ผมยืนยันได้ว่ามะม่วงหลายสายพันธุ์ของที่นี่สมแล้วกับที่งอกงามอยู่บนดินแดนแห่งกลิ่มอายและมีสีสันอย่างอินเดีย เพราะมีคุณสมบัติพรั่งพร้อม ทั้งรสชาติและความหอมหวาน รูปทรง และสีสันของผลไม้ที่งดงามสะดุดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พันธุ์อัลฟองโซ มะม่วงยอดนิยมของคนอินเดีย นอกจากจะให้รสชาติที่หอมหวานชื่นใจแล้วสีของผลยังสุกปลั่งเป็นสีส้มสด เชิญชวนให้น่าลิ้มลองยิ่งนัก
ใครอยากรู้ว่ามะม่วงพันธุ์นี้ได้รับความนิยมในตลาดโลกขนาดไหน ลองพิมพ์คำว่า “Alphonso Mango” .ใน www.google.com รวมทั้งใน amazon.com ด้วย จะพบเว็บไซต์ผู้ผลิตน้ำมะม่วงชนิดเข้มขน (mango pulp) ส่งขายต่างประเทศมากมาย
ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการเกษตรก้าวหน้า และทันสมัยมากขึ้น คนอินเดียจึงสามารถมีมะม่วงกินได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูกาลจริง ๆ ของมะม่วง (สุก) อยู่ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี ช่วงนี้แผงขายผลไม้หลายจุดของเมืองจะดูเหลืองอร่ามไปด้วยมะม่วง บ้างก็วางขายอยู่ในรถเข็นเป็นแผงลอยเคลื่อนที่ บ้างก็ใส่ไว้ในเข่งเหนือศีรษะเที่ยวตะลอนขายไปตามถนนและย่านชุมชน
แต่อุปสรรคสำคัญที่ลูกค้าแฟนพันธุ์แท้เช่นเราเจอบ่อยคือ ไม่ว่าจะซื้อมากซื้อน้อยเพียงใดส่วนลดที่ได้แทบจะไม่เคยเจอเพราะคนอินเดียทั้งหลายส่วนใหญ่ขายในราคา “Fixed Price” ตายตัว ยิ่งกว่าราคาของในสรรพสินค้า อาจมีน้ำใจยึดหยุ่นให้บ้างเพียงแค่ปาดให้ลองชิมชิ้นสองชิ้น ต้องโชคดีเป็นพิเศษจึงจะได้เจอพ่อค้าใจดียอมลดราคาหรือแถมให้ หากอยากได้ของแถมหรือส่วนลดก็ต้องใช้ความสามารถทู่ชี้กล่อมเกลากันนานหน่อย (มีข้อแม้ว่า...คุณเองอย่ายอมถอดใจไปเสียก่อนหละ) หรือไม่งั้นก็ต้องงัดเอากลยุทธ์ขั้นสุดยอดมาใช้ ด้วยการต่อราคาเสร็จแล้วเดินหนีทำทีไม่สนใจจึงจะสำเร็จ
อย่างไรก็ตามทุกครั้งก็ไม่วายซื้อมา ที่หนักไปกว่านั้นบางคราวยังซื้อหอบหิ้วทั้งผลสุก ผลดิบ และน้ำมะม่วง ขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยเป็นของฝากญาติมิตรอีกต่างหาก
จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อต้องมนต์เสน่ห์มะม่วงอินเดียเข้าให้แล้ว
มิติภารตะ
มิติภารตะ
การเตรียมการเตรียมความพร้อมเป็นไปด้วยความลุ้นระทึกทุกขั้นตอนเฉกเช่นการเดินทางไปต่างประเทศทุกๆ ครั้ง การประชุมวางแผนเดินคู่ขนานไปกับการประสานงาน จำนวนงบประมาณสัมพันธ์กับเส้นทาง พาหนะและจำนวนดาวของโรงแรมที่แวะพัก เมื่อได้กำหนดวันเดินทางเรียบร้อยการประชุมย่อยเพื่อเก็บรายละเอียดงานก็ตามมา หยูกยาเพื่อสุขภาพอนามัย ของใช้ ป้ายผ้า ป้ายชื่อ ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่สมาชิกผู้ร่วมเดินทางต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือการค้นคว้าหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอินเดียที่ทุกคนทุกฝ่ายไม่เฉพาะผู้ประสานงานเริ่มทำการบ้านกันตั้งแต่วินาทีแรกของการตัดสินใจร่วมขบวนการ
เปิดมิติ (OPEN SCENCE)
“อินเดีย” หรือ “อินดียา” หาใช่คำดั้งเดิมไม่ แต่เป็นชื่อใหม่ที่เราใช้เรียกประชาชนและชื่อประเทศ ตามประวัติแต่เดิมชาวเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) เรียกผู้คนแถบนี้ว่า “ฮินดุ” หรือ “สินธุ” ตามชื่อแม่น้ำสายสำคัญหนึ่งในสามสายของคาบสมุทรชมพูทวีป อีกสองสายคือ แม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำฮินดู (Indus River) ไหลผ่านตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู มีวัฒนธรรมแบบชาวฮินดู บ้างจึงเรียกกันว่า “ฮินดูสถาน” (หนังสือพิมพ์รายวันยอดนิยมของอินเดียฉบับหนึ่งก็ใช้ชื่อว่า “ฮินดูสถานไทม์” ) แต่ความเห็นของอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย นาย ยวาหรลาล เนรูห์ กลับไม่เห็นด้วยที่จะให้ใครต่อใครเรียกอินเดียในชื่อนี้ ท่านเห็นควรให้เรียกว่า “ฮินดี” เหตุผลก็เพราะอินเดียไม่ได้มีเฉพาะวัฒนธรรมฮินดู แต่อินเดียมีความหลากหลายในทุกด้าน ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า...
“India is geographical and an economic entity, a cultural unity amid diversity, a bundle of contradictions held together by strong but invisible threads.” (อินเดียมีชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และมีเอกภาพทางวัฒนธรรมท่ามกลางความแตกต่าง เป็นที่รวมของความขัดแย้งซึ่งยึดเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความผูกพันอันแข็งแกร่งแต่มองไม่เห็น)
อาจมองได้ว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเหตุผลทางด้านการเมืองที่ไม่ต้องการเห็นการแตกแยก แบ่งกลุ่ม เพราะอินเดียมีศาสนา ภาษา เชื้อสายของผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลายเป็นหนึ่งในแอ่งอารยะธรรมของโลก เพียงแต่มีวัฒนธรรมฮินดูเป็นวัฒนธรรมหลัก ความเห็นของเนรูห์ได้รับการตอบรับจากสังคมโลก ปัจจุบันโลกจึงเรียกขานประเทศและประชาชนบนคาบสมุทรแห่งเอเชียใต้กันทั่วไปว่า “ฮินดี” หรือ “อินเดีย”
ยังมีอีกคำหนึ่งซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่งนิยมใช้เรียกคนอินเดียและประเทศอินเดียด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่กว้างขวางมากนัก คือคำว่า “ภารตะ” ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “ภรต” จากมหากาพย์ชื่อดังของอินเดียเรื่อง “มหาภารตะ” หรือ “รามเกียรติ์” ที่คนไทยรู้จักดีนั่นเอง เปิดมิติผมจึงขอเลือกเอาชื่อนี้ที่ยังไม่แพร่หลายมากนักมาสื่อสารถึงคนกันเองเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคมและวิธีคิดของผู้คนในประเทศอู่อารยะธรรมสำคัญของซีกโลกตะวันออกเช่นอินเดีย ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดหรือรากเหง้าของวัฒนธรรมไทย ในมุมมองของเกล้ากระผม
พุทธคยา (BUDHGAYA)
เช้ามืดประมาณตีห้าของวันที่ 24 มีนาคม 2551 ผมและคณะเพื่อนร่วมทางทั้งหมดมาพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ซึ่งอันดับหนึ่งกับสองก็อยู่ในทวีปเอเชียเช่นกัน ข้อมูลการจัดอันดับเรทติ้งความยิ่งใหญ่ของสนามบินผมได้ยินจากผู้รู้เพื่อนร่วมทางของเราคนหนึ่งซึ่งเล่าบอกแก่สมาชิกบนรถบัสปรับอากาศสายสุรินทร์-โคราช พาหนะที่รับส่งคณะเราทั้งไปและกลับสำหรับการเดินทางครั้งนี้ เมื่อสองสามนาทีก่อนหน้าที่รถบัสจะเข้าจอดเทียบท่าชานชลาช่อง 9 ของอาคารผู้โดยสารขาออก
สายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ IC 730 พาหนะขนาดกลางนำพาทั้ง 32 ชีวิต พร้อมกับนักเดินทางแสวงบุญอีกคณะหนึ่งประมาณเท่าๆ กัน รวมแล้วทั้งผู้โดยสารและคณะนักบินบนเครื่องในวันนั้นไม่น่าจะเกิน 100 ชีวิต รวมไม่ถึงครึ่งของขนาดความจุของเครื่งเราจึงเลือกนั่งกันตามสบาย โดยมีจุดหมายปลายทางที่อยู่ห่างออกไปราว 4,000 กิโลเมตร ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนแห่งพุทธภูมิ เมืองพุทธคยา เราใช้เวลาบินข้ามเมียนมาร์และอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดียด้วยเวลาเพียง สามชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินเมืองพุทธคยา ตรงกับเวลาท้องถิ่นที่นั่น 10.30 น. (เวลาอินเดียช้ากว่าไทยหนึ่งชั่วโมงครึ่ง) ก่อนที่เจ้านกยักษ์จะร่อนลงแตะพื้นรันเวย์ผมสังเกตเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่หลายสายในรัศมีสายตาอยู่สภาพแห้งขอดราวกับเป็นลำธารของท้องทราย เหมือนส่งสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าฤดูร้อนกำลังนำความแห้งแล้งมาเยือนอินเดีย ไกด์นำทาง (พระครูดวง) ท่านเล่าบอกแก่เราว่าหากเป็น 2-3 เดือนก่อนหน้านี้เที่ยวบินนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสาร เพราะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวแสวงบุญของที่นี่ โชคดีนักท่องเที่ยวอาจมีโอกาสได้เห็นจริยวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ธิเบตจากเมืองธรรมศาลา (Dharamsala) ทางตอนเหนือของอินเดียนับร้อยๆ รูปลงมาปฏิบัติธรรมกันที่พุทธคยาระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ในบางปี “องค์ดาไลลามะ” ผู้นำพลัดถิ่นและผู้นำจิตวิญญาณของชาวธิเบตก็มักจะมาใช้เวลาในเดือนธันวาคมที่นี่ด้วยเช่นกัน
เมืองพุทธคยาหรือ คยา (Gaya) อยู่ห่างจาก ปัทนะ (Patna) เมืองหลวงของแคว้นพิหารหรือรัฐพิหารลงมาทางใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร ไกด์ท้องถิ่น “Kermlesh” และ “Deepak” เล่าบอกผมว่า รัฐนี้มีสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวคือที่นี่ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญชาวพุทธหลั่งไหลกันมาปีละนับล้านๆ คน เพื่อมาปฏิบัติธรรมเคารพกราบไหว้สถูปหรือวิหารมหาบดี (Mahabodhi Temple) รัฐพิหาร (Bihar) เป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของอินเดีย ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยมากไม่เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ที่หมุนตามวัฒนธรรมกระแสหลักของโลก วันนั้นเราไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยทันทีที่เก็บข้าวของสัมภาระขึ้นรถบัสเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางจากสนามบินมุ่งตรงไปกราบนมัสการสถูปมหาบดี สถานที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ องค์สถูปมีความสูงราว 30 เมตร มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นอิงแอบอยู่เป็นสัญลักษณ์ เรารวมตัวกันถ่ายรูปหมู่และทำสมาธิสวดมนต์กันใต้ต้นโพธิ์ใหญ่อยู่นานสองนาน สมาชิกบางกลุ่มแยกย้ายกระจายกันสำรวจบริเวณ บ้างก้มเก็บใบโพธิ์ที่หล่นพื้นเพื่อเป็นของฝากทรงคุณค่าแก่ญาติมิตรได้คนละหลายๆ ใบ เพราะเป็นช่วงโพธิ์ผลัดเปลี่ยนใบ บางคนไปนั่งรอรับจากมือพระสงฆ์ไทยที่บรรจงเขียนรูปพระพุทธรูปลงบนใบโพธิ์ด้วยปากกาเมจิกอย่างประณีตบรรจงและชำนิชำนาญ แลกกับการทำบุญถวายท่าน 10 รูปี 20 รูปี ตามแต่ศรัทธาเพราะท่านไม่ได้ร้องขอ ทราบภายหลังว่าอาจารย์ท่านก็เพิ่งเดินทางมาจากเมืองไทยเพื่อมาปฏิบัติธรรมและกราบนมัสการสังเวชนียสถานเช่นเดียวกัน ยามว่างจากการนั่งทำสมาธิบริเวณใต้ต้นโพธิ์ท่านก็หยิบใบโพธิ์ที่หล่นตรงหน้าขึ้นมาขีดเขียนเล่นๆ เป็นพระพุทธรูปญาติโยมมาเห็นเข้าก็มาขอทำบุญแบ่งเอาไป ด้วยฝีมือของท่านบวกกับความศรัทธาในสถานที่มุมนี้จึงกลายเป็นมุมไทยมุงย่อยๆ ในบางขณะ
ด้านหน้ารอบนอกตรงปากทางเข้าบริเวณองค์สถูปดารดาษไปด้วยร้านค้าและธุรกิจสารพัดชนิดที่ล้วนหวังเรียกและรีดเงินจากนักท่องเที่ยวนักแสวงบุญผู้ผ่านมา อาทิ ตรงปากทางเข้าด้านหน้ามีร้านขายดอกไม้พวงมาลัยเพื่อการทำบุญวางอยู่เรียงราย ถัดมาเป็นร้านขายพระพุธรูป ประคำ เทป ซีดี ธรรมะ ที่เห็นแปลกตาคือมุ้งกันยุงทรงตั้งรูปลักษณ์คล้ายคนนั่ง ออกแบบมาสำหรับผู้ที่นั่งสมาธิเป็นไอเดียที่เก๋ไก๋ด์ไม่เหมือนใครและเฉพาะตัวยิ่ง ถัดออกมาไกลหน่อยเป็นร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ ของฝาก เกสต์เฮ้าส์ ห้องพัก รวมไปถึงเด็กขอทานที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดเส้นทาง ซึ่งทุกธุรกิจพ่อค้าแขกได้โชว์ให้เห็นถึงเทคนิคและศิลปะการขายชั้นเซียน ด้วยการตื๊อ ตื๊อ และก็ตื๊อ จนเราอายไม่กล้าปฏิเสธ
เพื่อนคนหนึ่งมาฟ้องว่า... “ฉันซื้อซีดีธรรมมะมาแล้ว 1 แผ่น จากราคาขายทีแรกบอก 120 รูปี ฉันต่อรองได้ราคา 50 รูปี สุดแสนจะดีใจ แต่แขกขายคนเดิมไม่ยอมไปไหนยังตามตื๊อจะขอขายให้ฉันอีกในราคาใหม่ 4 แผ่น 100 อ้างว่าเพื่อสมนาคุณ เธอเรียนการตลาดมา ช่วยบอกฉันทีนี่มันอะไร
กัน..ฉันถูกหลอกหรือเปล่า?”
ผมฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า (กิริยาอาการส่ายหน้าของ
คนอินเดียแปลความหมายได้ว่าใช่หรือเห็นด้วย)
เรากลับมาทานเที่ยงและเข้าพัก ณ โรงแรมโตเกียว (Tokyo Hotel) ในคืนแรกของการเดินทาง ผมเข้าใจเองว่าเจ้าของโรงแรมคงไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นแต่ที่ใช้ชื่อนี้เพราะโรงแรมตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าวัดญี่ปุ่น โปรแกรมที่ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองพุทธคยาคือการได้ทัวร์ชมวัดนานาชาติ โดยรัฐบาลอินเดียได้จัดสรรพื้นที่ชั้นในของเมืองไว้ให้ประเทศที่มีพลเมืองนับถือพุทธศาสนาได้มาสร้างวัดในแบบฉบับที่เป็นของตนเองไว้ ที่นี่จึงมีทั้ง วัดไทย ญี่ปุ่น พม่า จีน ทิเบต เนปาล ภูฏาน บ่ายวันนั้นเราจึงเพลิดเพลินกับการเดินชมศิลปะความงามของวัดนานาชาติ ดูความประณีตของศิลปกรรมการก่อสร้างอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชาติพร้อมๆ ไปกับการเที่ยวดูวิถีชีวิตของผู้คนชาวเมืองพุทธคยา ซึ่งเราสัมผัสได้กับม่านแห่งความยากจนที่แผ่ปกคลุมอยู่ทั่วไป ยากที่จะหาความเป็นระบบระเบียบใดได้ แต่กิจกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างก็สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจฉงนสนเท่ห์แก่หมู่คณะเราได้หลายอย่างในเส้นทางชมเมือง อาทิ เราได้พบเห็นการปั้นก้อนขี้วัวเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร โดยนำขี้วัวเปียกมาคลุกเคล้าผสมกับแกลบปั้นตากเป็นก้อนแบนๆ แปะไว้กับฝาบ้านและพื้นดินเป็นแถวแนวอย่างเป็นระเบียบ ที่ตากแห้งแล้วก็เรียงเก็บไว้เป็นกองๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างสำหรับไว้ใช้เองและไว้ขาย ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในชุมชนแห่งนี้ ภายหลังเราพบว่าตลอดเส้นทางของการเดินทางในทริบนี้ตั้งแต่เมืองพุทธคยาจนถึงนิวเดลฮี กิจกรรมเช่นว่านี้มีให้เห็นอยู่ตลอด
“หรืออาหารที่เรารับประทานกันก็ผ่านการปรุงด้วยเชื้อเพลิงก้อนขี้วัวตากแห้งนี้ด้วย?” ใครคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ ระหว่างเดินทางกลับที่พัก
“…………” เงียบ ไร้เสียงตอบ
เรื่องเชื้อเพลิงขี้วัวตากแห้งได้กลายเป็นประเด็นหลักของหัวข้อการสนทนาในวันต่อๆ มาบนรถ ด้วยวิธีการ focus group แบบเข้มข้น บางคนที่ลุ่มลึกมีการเปรียบเทียบในทุกมิติ ทั้งด้านส่วนผสม ขนาดและรูปทรงของการปั้นก้อนว่ามัน เล็ก ใหญ่ ทรงกลม ทรงเหลี่ยม หรือ รี
สำหรับที่นี่แล้วนักท่องเที่ยวไทยเป็นกลุ่มที่มีเสน่ห์มากที่สุด ได้รับความนิยมชมชอบจากเหล่าพ่อค้า ขอทานและแขกมุงเป็นอย่างยิ่ง เดินไปทางไหนมีแต่แขกห้อมล้อม เพราะคนไทยใจบุญสุนทานและมีนิสัยชอบซื้อ ซื้อทุกโอกาส ซื้อได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า “ขึ้นรถเป็นหลับ ขยับเป็นซื้อ” สามารถบ่งบอกคุณลักษณะของนักท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดีและดูเหมือนว่ากลุ่มแขกมุงก็รู้จักนิสัยในข้อนี้ของคนไทยดีมากเช่นเดียวกัน ส่วนขอทานก็รู้ว่าคนไทยใจดีชอบบริจาคทาน การเคลื่อนขบวนของเราจากจุดต่อจุดจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าเพราะกว่าจะแหวกม่านมลภาวะแขกมุงมาขึ้นรถได้ครบทุกคนต้องใช้เวลาและลุ้นระทึก คนแล้วคนเล่า การอวดโชว์และเปรียบเทียบว่าใครซื้อของได้ถูกแพงกว่ากันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การบริหารเวลาให้เป็นไปตามโปรแกรมที่วางไว้ทำได้ยาก เพราะศักดิ์ศรีเรื่องซื้อของได้แพงกว่ายอมกันไม่ได้แต่กระเป๋าฉีกไปเท่าไรเราไม่คำนึงถึง หนักเข้าเมื่อถึงจุดแวะชมบางจุดบางคนจึงตัดปัญหาเพียงนั่งรออยู่บนรถไม่ยอมลงไปชม ถ่ายรูปก็เพียงใช้กล้องซูมถ่ายเอาในระยะไกลแทน
โพล้เพล้ใกล้พลบค่ำในวันนั้นเราได้ไปเยี่ยมชมบ้านนางสุชาดา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราด้านทิศตะวันออก มีสะพานคอนกรีตทอดข้ามไประยะทางยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร สภาพแม่น้ำที่เห็นมีแต่ท้องทรายขาวโพลนหามีน้ำไม่ ไกด์บอกเราว่าในฤดูฝนจะมีน้ำหลากเอ่อล้นฝั่งและจะแห้งเหือดหายไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่อปลายฝนเช่นเดียวกับแม่น้ำสายสั้นๆ ทั่วไปในรัฐพิหาร จินตนาการของผมจึงเจอทางตันบันเจิดต่อไม่ได้ว่า เมื่อครั้งที่นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาสแก่องค์พระศาสดาแล้ว ขณะนำถาดมาล้างทำความสะอาดริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานางได้อธิษฐานในใจว่า “หากพระศาสดาผู้นี้สามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในวันใดวันหนึ่งภายภาคหน้า ก็ขอให้ถาดภาชนะใส่อาหารนี้ลอยทวนน้ำขึ้นไปด้วยเถิด...” ปรากฏว่าคำอธิษฐานของนางเป็นจริง ถาดใส่อาหารลอยทวนน้ำขึ้นไปทางเหนือ แต่ในวันนี้เนรัญชรามีเพียงท้องทรายไม่มีน้ำแม้เพียงหยดหรือสายน้ำนี้จะชราเหมือนชื่อ ท่าน้ำตรงจุดที่นางสุชาดานั่งอธิษฐานยังมีต้นโพธิ์ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ให้เห็น ส่วนบ้านนางสุชาดาอยู่ห่างจากท่าน้ำเข้าไปไม่ไกลนัก สภาพปัจจุบันที่เห็นบ้านนางสุชาดาเป็นสถูปก่อสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยอิฐแดงฐานกว้างมีความสูงในราว 5 -7 เมตร ห้อมล้อมด้วยย่านชุมชนเกษตรปลูกข้าวสาลีและฟาร์มเลี้ยงสัตว์โดยรอบ
คนเลี้ยงวัวเดินเทินหญ้าฟ่อนใหญ่ไว้เหนือศีรษะเคลื่อนเข้าใกล้มาทุกทีๆ ทันทีที่แลเห็นคณะของเราเขารีบทิ้งฟ่อนหญ้าวัวแล้วเกร่เข้ามาผสมโรงกับเด็กขอทานและแขกมุงที่ยืนออรออยู่ก่อนแล้ว ปากเปล่งเสียงร้องเรียกเป็นคำไทยว่า “อาจารย์ อาจารย์ ...” พร้อมแสดงปฏิกิริยาห่อมือยื่นไปจ่อที่ปากตัวเองเพื่อขอเงินค่าอาหารด้วยทีท่าอาการที่คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติยิ่งราวกับอยู่ในสายเลือด
ผมรีบกระโดดขึ้นมานั่งบนรถในทันทีที่รถบัสเคลื่อนมารอรับ นั่งมองดูความชุนละมุนวุ่นวายบริเวณ ประตูทางขึ้นรถบัสที่บัดนี้ตะลบอบอวลไปด้วยฝุ่นและเริ่มขุ่นด้วยอารมณ์
เราข้ามกลับมาทำวัดสวดมนต์เย็นที่เจดีย์มหาบดีอีกครั้งเมื่อแสงแห่งวันหมดไป อากาศเริ่มเย็นลงบ้าง ไฟแสงสีจากหลอดนีออนอาบทาองค์สถูปจากฐานไปถึงยอดให้ภาพที่งดงามจับใจยิ่ง เสียงสวดมนต์ทำนองพุทธนิกายมหายานจากเครื่องขยายเสียง “บุดดัง สะระนัง คัจฉามิ... ดัมมัง สะระนัง...” ดังก้องกังวานไปทั่วทิศให้ความรู้สึกขลังและศักดิ์สิทธิ์ บริเวณรอบๆ องค์สถูปยังคงเนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนพระสงฆ์และเหล่าบรรดาสาวกที่ยิ่งจะดูหนาตากว่าตอนกลางวัน ในมุมหนึ่งตรงด้านหน้าพระมหาเจดีย์ผมนั่งดูผู้คนเดินจงกรมเวียนเทียนผ่านไปมาจนตาหลับพริ้มพร่ามัว ในดวงจิตเลื่อนลอยไกลคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหาเป็นสมาธิไม่ กระทั่งมีใครบางคนมาสะกิดที่แขน ภาพตรงหน้าที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเป็นภิกษุหนุ่มในพุทธศาสนาแต่ลักษณะการครองจีวรแปลกไม่คุ้นตา หน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอินเดีย ครั้นเมื่อได้พูดคุยจึงรู้ว่าท่านเป็นพระนักศึกษามาจากเมืองจิตตะกอง เมือท่าทางตอนใต้ของประเทศบังคลาเทศ ค่อนไปทางชายแดนประเทศพม่าหรือเมียนม่าร์ เราแลกเปลี่ยนทัศนะกันตามประสาของมิตรหน้าใหม่ แต่ก่อนจะแยกย้ายท่านทิ้งท้ายท่อนฮุกว่า...
“โยม อาตมาขออนุโมทนาเงินค่าเล่าเรียนในอินเดีย 100 รูปี เพราะอาตมาไม่มีรายได้ไม่มีพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียวที่นี่” ประสบการณ์การขอหลายรูปแบบที่พบเจอในวันนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ในทันที
“อีกแล้ว Beggar !!!” ผมร้องในใจ ก่อนควักหยิบเงินรูปีให้อย่างไม่มีทางเลือก
ค่ำวันนั้นผมเดินตามหมู่คณะออกมาจากองค์สถูปมหาบดีแห่งเมืองพุทธคยาเกือบเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำเล็กๆ ในใจแข่งกับเสียงบทสวด
พาราณสี (VARANASI)
เป้าหมายการเดินทางของเราวันนี้อยู่ที่เมือง พาราณสี (Varanasi) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง นั่นคือข้อมูลที่ทุกคนรับทราบพร้อมกันบนโต๊ะอาหารเช้า จากนั้นในราวเจ็ดโมงครึ่งเราจึงต่างพร้อมออกเดินทาง การปรับตัวเพื่อตื่นให้ทันเวลานัดหมายมีปัญหาบ้างสำหรับบางคนทั้งนี้เพราะเป็นการเดินทางคืนแรกร่างกายต้องการเวลาเพื่อการปรับตัว เรื่องอาหารสามมื้อมี่ผ่านมาทุกคนก็ไม่มีปัญหา อาหารที่เสิร์ฟมีข้าว มีแกงไก่ ไข่ต้ม ไข่เจียว ซุป มีอาหารอินเดียให้ได้ลองลิ้มชิมรสด้วย ได้แก่ จาปาตี ปุรี หรือ นัน และดาล ให้เราเลือกอร่อย แต่ในกระเป๋าทุกใบของพวกเราก็มีทั้งน้ำพริก น้ำปลา มาม่า ไวไว ตุนมาไว้มากมายเหมือนกัน บนโต๊ะอาหารในมื้อหลังๆ หลังจากที่ให้อาหารอินเดียเป็นพระเอกฉายเดี่ยวมา 3-4 มื้อ ก็เริ่มมีน้ำพริกน้ำปลามาปะปนกลายเป็นเมนูลูกผสม เช่น จาปาตีจิ้มแจ่ว รสชาติที่เราสรรค์สร้างกันขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับลูกผสมไทย-อินเดีย
จากพุทธคยา เรามุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2 ไปยังนครโบราณที่มีอายุเก่าแก่ราว 3000 ปี ระยะห่างตามป้ายบอกทางระบุเพียง 200 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง ผมคิดตั้งข้อสังเกตในใจ แต่ความสงสัยเริ่มหายไปเมื่อเราออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง เส้นทางสี่เลนส์ของทางหลวงสายหลักหมายเลข 2 ซึ่งเชื่อมสองเมืองใหญ่ Kolkata หรือ กัลกัตตา ที่คนไทยรู้จัก กับนิวเดลฮี เมืองหลวง ลากตัดผ่านท้องทุ่งที่ราบส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศและผ่านเมืองสำคัญๆ อีกหลายเมือง แต่ถนนหนทางกลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายบางช่วงกำลังก่อสร้างรถต้องข้ามเลนส์ไปวิ่งอีกด้าน มีอุบัติเหตุระหว่างทางเกิดขึ้นหลายจุด รถบัสเราสามารถทำความเร็วได้เฉลี่ยเพียง 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราจึงเดินทางกันอย่างหวานเย็นช้าๆ เนิบๆ แต่ก็เพลิดเพลินกับวิวทุ่งข้าวสาลีสองข้างทางที่กำลังออกรวงอร่ามสลับกับชุมชนและเมือง สนุกสนานได้ความรู้กับเรื่องราวที่สมาชิกแต่ละคนหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเล่าตามประสบการณ์ ด้วยอารมณ์และเหตุผลในมุมมองของตนเอง นั่นเป็นวิธีร่นระยะทางไกลๆ ให้ใกล้ขึ้นของพวกเรา
ยามเช้าเมื่อเราแล่นผ่านชุมชนคำบอกเล่าหรือเรื่องราวที่เคยรับรู้มาเกี่ยวกับการขับถ่ายริมทางของคนอินเดียก็ทำให้หลายคนตื่นเต้นเริ่มส่ายตามองหาเพื่อพิสูจน์ความจริงเมื่อเห็นก็ชี้ชวนกันดู เนื่องจากเป็นยามเช้าการขับถ่ายจึงเป็นเรื่องปกติ มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทำกิจวัตรปลดทุกข์ตนไปโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อสายตาอาคันตุกะอย่างพวกเราแต่ประการใด เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นไฮไลท์ของการสนทนาบนรถในห้วงนั้น ซึ่งกินเวลาเนิ่นนานจนแทบจะหาบทสรุปไม่ได้
ความเห็นที่ 1 “ท่าน ถามหน่อยเถอะเขาไม่อายบ้างหรือไง นั่งประจันหน้ากันอย่างนั้น?”
ความเห็นที่ 2 “อุจจาระ (ขี้) คนแขกคงไม่เหม็นนะ เพราะส่วนใหญ่เขาทานมังสะวิรัติ?”
ความเห็นที่ 3 “ไม่นะ ไม่ทันได้ส่งกลิ่นหรือย่อยสลายหรอก เห็นไหมหมูกระโดนทำหน้าที่เทศบาลมาจัดการเก็บกวาดแล้ว”
ความเห็นที่ 4 “ทำไมไม่ค่อยเห็นมีผู้หญิง มานั่งถ่ายอย่างนี้บ้างเลย?”
ความเห็นที่ 5 “มี แต่เขาใช้ส่าหรีคลุมหมดมิดชิด โน่นไงเห็นไหมนั่งอยู่ไกลๆ”
ความเห็นที่ 6 “…….???”
การสนทนาคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงไกด์ร้องบอกให้ทุกคนเข้าห้องน้ำเพื่อปล่อยหนักปล่อยเบาเมื่อรถบัสจอดแอบได้ที่เหมาะๆ ข้างทาง สภาพห้องน้ำของเราในวันแรกของการเดินทางไกลไม่ได้แตกต่างจากชุมชนริมทางของอินเดียที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่แต่อย่างใด ห้องน้ำเป็นพุ่มไม้สลับทุ่งข้าวสาลี จอดครั้งแรกบางคนยังอิดออดอดกลั้นไว้อยู่ครั้นพอเนิ่นนานผ่านไปจอดสองจอดสาม ความจำเป็นบีบบังคับให้เกิดการทดลองเรียนรู้ ผู้หญิงมีผ้าถุงไว้ห่มคลุม ผู้ชายมีพุ่มไม้ไว้กำบัง ต่างคนต่างเลือกที่ที่เหมาะกับสภาพของตนเองเพื่อปลดปล่อย จอดทุกครั้งในการเดินทางวันหลังๆ กิจกรรมที่ว่าดำเนินไหลลื่นไปราวกับเป็นปกติ (อาจกล้าแม้ปล่อยหนักหากจำเป็น)
“นับเป็นการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมและเข้าถึงจิตวิญญาณอินเดียโดยแท้” ใครบางคนกล่าวสรุปปิดประเด็นความเห็น
การเดินทางไกลในอินเดียโดยรถยนต์บนถนนหลวงหาได้สะดวกสบายเหมือนการเดินทางในบ้านเราไม่ นานๆ ครั้งเราจึงจะเจอปั๊มน้ำมัน สภาพปั๊มน้ำมันหลายแห่งก็ไม่ได้มีห้องน้ำไว้บริการลูกค้าแม้กระทั่งใกล้เมืองใหญ่ เข้าใจว่าผู้ประกอบการเขาคงไม่ให้ความสำคัญ น้ำมันเติมได้แต่ขับถ่ายต้องช่วยตัวเอง เราจึงต้องแวะเก็บดอกไม้และยิงกระต่ายระหว่างทางเรื่อยไป
ฉะนั้นกลยุทธ์ที่เป็นจุดขายของปั๊มน้ำมันในบ้านเราที่ขึ้นป้ายใหญ่ๆ ว่า “ห้องน้ำสะอาด” เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ สำหรับที่นี่แล้วคงไม่ได้ผล
เล่ากันว่า (แต่ไม่มีการยืนยันแหล่งข่าวว่าจริงเท็จอย่างไร) การขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทางของคนอินเดียเกิดขึ้นในยุคสมัยท่านมหาตมา คานธี อดีตผู้นำที่ได้รับการยอมรับสูงสุดและเปรียบเป็นพ่อแห่งชาติของคนอินเดียทั้งมวลในเวลาต่อมา เวลานั้นท่านได้พาพลเมืองอินเดียต่อต้านอังกฤษด้วยหลักอหิงสา โดยงัดเอากลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อต้องการให้อังกฤษปลดปล่อยอินเดียด้วยวิธีการสันติวิธีไม่มีความรุนแรง หนึ่งในนั้นคือการถ่มน้ำหมากน้ำลายและการขับถ่ายในที่สาธารณะ เนื่องจากอังกฤษเป็นพวกผู้ดีตีนแดงคงทนไม่ได้กับความสกปรกไร้ระเบียบ ซึ่งท้ายที่สุดคานธีก็สามารถปลดปล่อยอินเดียได้สำเร็จ แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามาตรการไหนมีผลกดดันต่ออังกฤษมากที่สุด
แต่วิธีการเช่นว่านี้คงใช้ไม่ได้ผลกับคนที่ขับถ่ายอย่างมีระเบียบเป็นที่เป็นทางแต่มีนิสัยชอบกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะคนจำพวกนี้หาประโยชน์ใดไม่ได้เลยหากยึดตามหลักอหิงสา (ฮา!)
ทางหลวงหมายเลข 2 มุ่งเข้าสู่เมืองพาราณสีทางด้านทิศใต้ ก่อนถึงเมืองเราได้ข้ามผ่านสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำคงคา สายน้ำแห่งความเชื่อและความศรัทธาของชนชาวฮินดู ปริมาณน้ำในแม่น้ำคงคาเวลานี้มีประมาณหนึ่งในสามส่วน ต่างจากแม่น้ำอีกหลายสายในเส้นทางที่ผ่านมาซึ่งมีแต่ทราย ประมาณเที่ยงเราจึงสามารถฝ่าความจอแจของผู้คนวัวควายที่มากมายขวักไขว่ สภาพการจราจรแออัดบริเวณชานเมืองและตัวเมืองมาถึงบริเวณชั้นในได้สำเร็จ มองเห็นโรงแรม “Ideal Tower” ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า โดยพกพาดีกรีระดับสี่ดาวรอรับการมาเยือนของพวกเรา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของโรงแรมบอกผมว่า ราคาห้องเตียงคู่ในยามปกติที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวอยู่ที่วันละ 4,500 รูปี ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเบาบางลงทันทีที่เข้าสู่ที่รโหฐานและเป็นส่วนตัวเฉพาะหมู่คณะ
บ่ายวันนั้นเราเดินทางไปชมสถานพิพิธภัณฑ์เมืองสารนารถ อยู่ห่างจากโรงแรมในราว 12 กิโลเมตร ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาพระพุทธรูปปางแสดงธรรมศิลปะแบบสารนารถไว้จำนวนมาก ลักษณะทางพุทธศิลป์งดงามอ่อนช้อย แต่น่าเสียดายที่เกือบทุกองค์มีร่องรอยของการทำลาย มีตำหนิ จมูกหัก แขนขาหัก เป็นการจงใจทำลายให้เสียลักษณะ หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ในศตวรรษที่ 11 กลุ่มมุสลิมได้เข้ารุกรานเมืองพาราณสี นำโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุลพระเจ้า Aurangzeb ได้เข้าทำลายเมือง ศาสนสถานและรูปเคารพทั้งของพุทธและฮินดูหลายแห่ง วัดฮินดูหลายแห่งถูกเปลี่ยนไปเป็นสุเหร่าแทน
จากนั้นเราไปต่อยังสถูป สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จตามไปพบกับปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 หลังจากทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และธรรมเมกสถูป สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันเพื่อทรงโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ ที่นี่เราได้พบกับนักแสวงบุญชาวไทยหลายคณะ ส่วนใหญ่นำทีมธรรมะทัศนาจรโดยพระสงฆ์ทั้งจากเมืองไทยและจากวัดไทยในอินเดีย กิจกรรมระหว่างมาแสวงบุญ ได้แก่ การนั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม ตามมุมตามบริเวณต่างๆ รายรอบองค์สถูป พระอาจารย์ดวงไกด์ผู้นำทีมก็พาพวกเรานั่งสวดมนต์ภาวะนาทำทักษิณาวัตรด้วยเช่นกัน บริเวณใต้ต้นสะเดาอินเดียโดยมีองค์ธรรม เมกสถูปอยู่เบื้องหน้า
ในเส้นทางขากลับโรงแรมเราแวะชมโรงงานทอผ้าไหมเลื่องชื่อของเมืองพาราณสีเพื่อซื้อหาของฝากของที่ระลึก ซึ่งแรงงานทอผ้าที่นี่เป็นผู้ชายล้วนทำงานด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่ว ผมลองเปรียบเทียบราคาขายกับผ้าไหมไทยพบว่าที่นี่ราคาสูงกว่าเป็นเท่าตัว และถึงแม้ว่าเราจะมาจากดินแดนแห่งสุดยอดผ้าไหมไทย วันนั้นพนักงานขายชาย 2 คนของร้านก็ได้ทำหน้าที่จนมือเป็นระวิงจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนรถออก
บนโต๊ะอาหารของโรงแรมค่ำนั้นกลุ่มที่อ้อยอิ่งรั้งท้ายคือ ก๊วนหนุ่มใหญ่ไกลบ้าน ที่แยกตัวออกมาสนทนาปัญหาบ้านเมืองตามประสา การพูดคุยเริ่มยืดเยื้อและคึกคักออกรสชาติเป็นพิเศษเพราะดีกรีของ “King Fisher” และ “Royal Challenge” เบียร์ดีกรีพอเหมาะราคาพอดี 150 รูปี/ขวด ขวดแล้วขวดเล่าต่อเนื่องถูกสั่งมาเป็นระยะไม่ขาดตอนนัยว่าเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าจากการเดินทาง กระทั่งใครคนหนึ่งเปิดประเด็นเรื่องการนวดเพื่อคลายเส้นขึ้นมา เพราะอินเดียก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องนี้ ทุกเสียงร้องขานรับพร้อมเพรียง ผมในฐานะผู้ประสานงานจึงต้องทำหน้าที่หาข้อมูลเรียกพนักงานมาตอบข้อซักถาม และเป็นจริงดังคาดวงสนทนาที่กำลังได้ที่สลายตัวเร็วกว่ากำหนด เพราะคำตอบที่ทุกคนใจจดใจจ่อรอฟังได้ความว่า...
“ชายนวดชาย หญิงนวดหญิง ห้ามสลับเพศโดยเด็ดขาด!” เป็นคำตอบสุดท้าย ไม่มีใครกล้าคิดอะไรต่อ อาการเมื่อยขบมลายหายเป็นปลิดทิ้ง!
ตี 5 วันต่อมา ทุกคนมาพร้อมกันที่หน้าโรงแรมเพื่อโปรแกรมสำคัญคือ ล่องเรือชมแม่น้ำคงคา จัดเป็นไฮไลท์หนึ่งของการมาทัศนศึกษาในครั้งนี้ เรามาถึงริมฝั่งแม่น้ำคงคาขณะที่มองยังไม่เห็นเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งคงคาที่เรียกกันว่า “ฝั่งนรก” ทั้งนี้เพราะไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ หากจะเปรียบเทียบให้เกินไปก็คือไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ระหว่างทางเดินเพื่อมายังท่าน้ำร้านรวงยังคงปิดเงียบสนิท ขอทานและนักบวชนอนเรียงรายอยู่บนฟุตบาททางเท้าสลับกับพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่เร่ขายดอกไม้สดแก่นักแสวงบุญ
เนื่องจากท่าน้ำคงคาบริเวณเมืองพาราณสีผูกโยงอยู่กับความเชื่อความศรัทธาของฮินดูชนมานานนับพันๆ ปี รัฐบาลอินเดียจึงไม่อนุญาตให้ใช้เรือที่มีเครื่องยนต์หรือแม้แต่เรือหางยาว คณะเรา 32 ชีวิต จึงแออัดกันลงไปในเรือแจวลำใหญ่ รุ่งสางเราค่อยๆ ล่องทวนน้ำขึ้นไปชมโบสถ์วิหาร ชมท่าอาบน้ำที่มีนักแสวงบุญลงมาดำผุดดำว่าย บางรายกำลังปลงผมอยู่ริมฝั่งโดยมีนักบวชในชุดเหลืองคอยทำพิธีให้ การได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายในพระแม่คงคาสำหรับชาวฮินดูแล้วถือเป็นการชำระบาป เพื่อให้กลายเป็นคนบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาที่พาราณสีไม่เคยขาด เราวกกลับตามสายน้ำมุ่งขึ้นเหนือ (แม่น้ำคงคาในจุดนี้ไหลวกขึ้นเหนือ) เพื่อมายังท่า “Manikarnika” ซึ่งเป็นท่าสำหรับเผาศพ เป็นการเผาด้วยฟืนมีกองฟืนกองเรียงรายอยู่ริมฌาปนสถาน เช่นเดียวกับศพวันนั้นกำลังเผาอยู่ 2 ศพ และรอคิวเผาอยู่อีก 4-5 ศพ พิธีการดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ญาติเพียงนำศพมาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการฌาปนกิจ คอยกำกับดูแลให้ศพถูกเผาไหม้จนหมดจากนั้นจึงโกยขี้เถ้าลงสู่แม่น้ำคงคา (การลอยอังคาร) เป็นอันเสร็จพิธี เล่ากันว่านับเวลากว่าพันปีแล้วที่แสงไฟจากการเผาศพที่ท่านี้ไม่เคยมอดดับ ปัจจุบันท่าเผาศพบางท่าได้วิวัฒนาการมาใช้แก๊สหรือไฟฟ้าแทนบ้างแล้วทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่ญาติที่มีกำลังซื้อจัดเป็นลูกค้าอีกระดับหนึ่ง ซึ่งการรับฌาปนกิจได้กลายมาเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ดีไม่น้อยไปกว่าการให้เช่าเรือหรือธุรกิจอื่นๆ
ธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่เห็นมีอยู่มากแต่อาจสร้างความรำคาญให้กับนักท่องเที่ยวบ้างคือ การขายของที่ระลึกและการขายปลาเพื่อปล่อยในแม่น้ำคงคา พ่อค้าเหล่านี้จะค้าขายโดยล่องเรือมาประกบกับเรือนักท่องเที่ยวแล้วเกาะติดกันไปตลอดจนกว่าจะขึ้นฝั่ง ความฉลาดที่สามารถพูดไทยได้บ้างบางคำและการรู้จักจริตนิสัยคนไทยทำให้พ่อค้าเหล่านี้ดำรงชีพและหาเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้
บรรยากาศยามเช้าของแม่น้ำคงคาแม้จะดูพลุกพล่านอยู่บ้างแต่ก็ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตหลายประการ การเปรียบเปรยนรกอยู่ฝั่งหนึ่งสวรรค์อยู่อีกฝั่งหนึ่งเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบาย ความตายเพียงอยู่ใกล้เราแค่เอื้อมศพแล้วศพเล่าที่มอดไหม้ การแข่งขัน การสะสม ท้ายที่สุดแล้วใครก็ไม่สามารถพาอะไรติดตัวไปได้ นั่นต่างหากที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต
คานปูร์ (KANPUR)
หลังกลับมาจากล่องเรือในแม่น้ำคงคา และปล่อยปลาเพื่อเอาบุญสำหรับบางคน เราก็กลับมาเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ ซึ่งเป้าหมายของเราที่ต้องการไปให้ถึงคือ เมืองอัครา ในรัฐอุตรประเทศ (Uttar Pradesh) เช่นเดียวกับเมืองพาราณสี แต่เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ยาวไกลเกือบ 700 กิโลเมตร เราจึงจำเป็นต้องพักแรมระหว่างทางก่อนหนึ่งคืน ตามแผนจุดที่เราจะแวะพักคือเมือง คานปูร์ (Kanpur) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นอุตสาหกรรมใหม่ตอนกลางของอินเดีย
เราเดินทางผ่านท้องทุ่งที่ราบอันกว้างใหญ่ผ่านแหล่งเพาะปลูกเขตเกษตรกรรมของอินเดีย นอกเหนือจากข้าวสาลีแล้วยังมีไร่หอมและมันฝรั่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา น้ำสำหรับทำการเกษตรส่วนใหญ่เป็นน้ำบาดาลที่เกษตรกรสูบขึ้นมาแล้วปล่อยให้ไหลไปตามร่องน้ำในแปลงเกษตร น้อยนักที่เราจะได้เห็นคลองส่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อการเกษตรและชลประทาน ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่ง เราจึงเห็นรถขนมันมาจอดออรอขายที่หน้าโรงงานเป็นทิวแถวคล้ายกับรถบรรทุกอ้อย มันสำปะหลังหรือบรรทุกไม้ยูคาในบ้านเรา
เมื้อเที่ยงระหว่างทางเป็นข้าวกล่องที่นำมาจากโรงแรม เราทานกันง่ายๆ บนรถช่วงที่แล่นผ่านเมือง Allahabad เพื่อทำเวลา ไกด์เล่าว่าเมืองนี้มีความสำคัญเพราะเป็นบ้านเกิดของอดีตผู้นำสตรีของอินเดียที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงเหล็กแห่งเอเชียคือ นางอินธิรา คานธี แห่งครอบครัวเนห์รู อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญเพราะเป็นจุดที่แม่น้ำคงคากับแม่น้ำยมุนาไหลมารวมกัน ที่นี่จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวฮินดู กล่าวคือทุกๆ 12 ปี จะมีชาวฮินดูจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันเพื่อชำระล้างบาปในเทศกาลที่เรียกว่า “Kumbh Mela” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลงานบุญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังภาพข่าวต่างประเทศที่เราเคยรู้เคยเห็น แต่วันนี้ภาพที่เราเห็นมีเพียงสายน้ำขนาดใหญ่ที่แห้งขอด ในทุ่งข้าวสาลีสองข้างทางบางครั้งเราเห็นฝูงนกยูง 4-5 ตัวหากินอยู่ด้วยกันในสภาพตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับนกกระเรียนตีนแดงสีขาวเทาตัวใหญ่ที่จับคู่หากินอยู่ในนา ขณะที่แปลงนาถัดไปชาวนากำลังลงแขกเก็บเกี่ยวมันฝรั่งผลผลิตของตน เป็นสรรพชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว มีซากสัตว์ซากวัวควายตายอยู่ริมทางบ้างก็เป็นอาหารอันโอชะของฝูงแร้งกา ซึ่งบินร่อนระบายฟ้าอยู่เบื้องบนรอคอยจังหวะให้รถแล่นผ่าน
เราเดินทางมาถึงชานเมืองคานปูร์ในราวห้าโมงเย็น ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาตั้งแต่พาราณสี มาจนถึงคานปูร์ ผมเก็บงำความสงสัยประการหนึ่งในใจมาตลอด กล่าวคือผมสังเกตเห็นบริเวณย่านชานเมืองตั้งแต่พุทธคยา มาพารณสี และมาถึงคานปูร์ มีการล้อมรั้วก่อกำแพงแบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ ไว้มากมาย แต่หาได้ทำประโยชน์อย่างใดไม่ ความสงสัยมากระจ่างเมื่อย่างเข้าสู่คานปูร์ Deepak ผู้รู้อธิบายว่า นี่คือการจัดสรรที่ดินเพื่อแบ่งขาย หากไม่ล้อมรั้วไว้อาจมีพวกชนเร่ร่อนที่มักจะมาพร้อมฝูงแพะฝูงแกะเข้ามาจับจองอาศัย การจะขับไล่ให้รื้อถอนภายหลังจะเป็นเรื่องยาก แต่หากล้อมรั้วไว้การละเมิดสิทธิ์ก็จะไม่เกิด คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เพราะครุ่นคิดตาม
คนอินเดียที่ยากจนเนื้อตัวมอมแมม ไร้การศึกษาหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ดูไม่น่าจะมีคุณธรรมแต่กลับให้เกียรติเคารพในสิทธิผู้อื่นและเกรงกลัวกฎหมาย ไม่เหมือนผู้คนในประเทศสารขันธ์บางประเทศที่ดูดีมีการศึกษามีวัฒนธรรมที่เจริญกว่าแต่กลับหิวกระหายอดโซ สวาปามไม่เลือกแม้ที่สาธารณะป่าเขาที่ของเขาของเรา... ผมเพียงคิดเปรียบเทียบในใจ
วันนั้นเราเสียเวลากับการควานหาโรงแรมอยู่นานสองนานจากห้าโมงเย็นจนถึงสองทุ่ม เนื่องจากคนขับพาไปผิดเส้นทาง ประกอบกับวันนั้นรถติดขนาดหนักในเมืองคานปูร์เดินหน้าได้ทีละคืบ ขบวนทัพมอเตอร์ไซค์เป็นร้อยเป็นพันขวางปิดทางไว้ แม้ตำรวจจราจร 2 นายจะมาคอยโบกรถเพื่อเปิดทางให้แต่ก็มีมอเตอร์ไซค์คันใหม่ดาหน้าเข้ามาแทน หักเบี่ยงหลบกันคืบต่อคืบ เสียงแตรระงมไหวเพื่อขอทางแต่ดูเหมือนกับไม่มีใครได้ยิน เป็นวิกฤติจราจรที่ใกล้จลาจลที่เราเพิ่งพบเห็นครั้งแรก เป็นอย่างนี้อยู่นานนับชั่วโมง รถจึงค่อยๆ ไหลมาถึงโรงแรม Mandaniki กลางเมืองคานปูร์ หลังอาหารเย็นคืนนั้นซึ่งล่วงเลยมาค่อนดึกทุกคนต่างพากันแยกย้ายเข้าห้องพักอย่างอ่อนล้า
อัครา (AGRA)
วันนี้เป็นอีกวันที่ฝันของใครหลายคนจะเป็นจริง เพราะหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการเดินทางมาครั้งนี้ คือ ทัชมาฮาล (Taj Mahal) เช้ามืดวันที่ 27 มีนาคม 2551 เราลงมาทานอาหารเช้าตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง บางคนบางคู่จึงดูคึกคักเป็นพิเศษที่จะได้เห็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ประมาณเที่ยงของวันเดียวกันเรามาถึงเมืองอัครา สมตามความตั้งใจ
ทัชมาฮาล มีประวัติว่าเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมาพระเจ้าชาชาฮัน (Shah Jahan) กษัตริย์ในราชวงศ์โมกุล ทรงสร้างทัชมาฮาลขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระนางมุมตัส มาฮัล (Mumtaz Mahal) พระมเหสีที่เสียชีวิตหลังจากคลอดบุตรคนที่ 14 เพื่อใช้เป็นสุสานสำหรับเก็บพระศพของนาง โดยพระองค์ทรงใช้ความเพียรพยายามในการสร้างนานถึง 22 ปี จึงแล้วเสร็จ ได้สถาปนิกจากทั้งยุโรปและเอเชีย เช่น จากอิตาลี่และอิหร่าน ใช้แรงงานช่างจากทั้งอินเดียและเอเชียกลางรวมประมาณ 20,000 คน ลักษณะอาคารเป็นรูปทรงคล้ายสุเหร่าสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ความวิจิตรบรรจงอยู่ตรงที่การแกะสลักตกแต่งหินอ่อนด้วยการฝังหินอ่อนสีลงไปในเนื้อหินอ่อนสีขาวเกิดเป็นลวดลายความงดงามที่สุดจะหาใดเปรียบปาน
ภายหลังพระเจ้าชาชาฮันถูกโอรสคือ พระเจ้าอรังกะเซฟ (Aurangzeb) ยึดอำนาจและจับพระองค์ไปคุมขังไว้ที่ป้อมแดงหรือป้อมอัครา (Red Fort หรือ Agra Fort) ซึ่งจากป้อมแดงสามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้อย่างชัดเจนตามแนวฝั่งแม่น้ำยมุนา พระองค์ถูกคุมขังอยู่ที่นี่นานถึง 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ลง ทิ้งมรดกที่เป็นตำนานอันล้ำค่าไว้ภายหลัง ซึ่งวันนั้นหลังจากชมทัชมาฮาลเราไปต่อยังป้อมแดง ป้อมปราการที่แข็งแรงแน่นหนาและใหญ่โตราวกับเป็นเมืองเมืองหนึ่งมีทั้งปราสาทราชวังและมัสยิดอยู่ภายใน สาเหตุที่ได้ชื่อว่าป้อมแดงเพราะสร้างจากหินทรายแดง การก่อสร้างเริ่มต้นในสมัยของกษัตริย์อัคบา ในราว ค.ศ. 1565 และมาแล้วเสร็จในสมัยของหลานคือพระเจ้าชาชาฮัน จึงมีการเปรียบเปรยว่าพระเจ้าชาชาฮัลสร้างคุกไว้คุมขังตัวเองเพื่อรับผลกรรมจากการที่มีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมากระหว่างการก่อสร้างทัชมาฮาล
การเข้าชมทัชมาฮาล ไม่ได้สะดวกสบายมากนัก รัฐบาลอินเดียตรวจตราและคุมเข้มวัตถุระเบิดโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (กลัวเข้าไปก่อวินาศกรรมแหล่งทำเงิน) หลังจากผ่านด่านการตรวจตราที่แน่นหนาบริเวณซุ้มประตู เราต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทางหามุมเหมาะเพื่อเก็บภาพเก็บความทรงจำ ทั้งมุมใกล้มุมไกลทุกมุมมองของทัชมาฮาลล้วนมีความงดงามที่แตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์สมกับคำยกย่อง มุมใกล้ได้เห็นความประณีตของการแกะสลักหินที่มีอยู่เกือบทุกตารางนิ้ว มุมไกลได้เห็นความอลังการเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบ ทางเดินโดยรอบบนฐานชั้นบนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งมาเดี่ยวที่เป็นครอบครัวและคู่รัก ฉากด้านหลังของทัชมาฮาลเป็นจุดชมวิวงดงามอีกจุดหนึ่ง เมื่อมองเหนือโค้งน้ำยมุนาขึ้นไปทางทิศตะวันตกก็สามารถมองเห็นป้อมแดงได้ในระยะพอเหมาะพอเจาะ ด้านข้างสองฟากของทัชมาฮาลซ้ายและขวาเป็นเรือนรับแขกและเรือนพักของลูกสาวสร้างจากหินทรายแดงตกแต่งปลียอดด้วยหินอ่อนสีขาวนวลแกะสลักขนาบอยู่เคียงข้าง เสริมส่งกันและกันอย่างลงตัว
ครั้นเมื่อเข้าไปภายในห้องโถงรูปโดม เราก็ยิ่งพบเห็นการแกะสลักตกแต่งหินอ่อนที่งดงามและมีความละเอียดประณีตมากขึ้นอีกหลายเท่า โดยเฉพาะโลงศพหินอ่อนแกะสลักสองโลงที่วางอยู่เคียงคู่กัน หนึ่งเป็นของพระนางมุมตัส อีกหนึ่งเป็นของพระเจ้าชาชาฮัน ไกด์ประจำทัชมาฮาลซึ่งนำชมภายในบอกเราว่าโลงศพนั้นเป็นเพียงการสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์แต่พระศพจริงๆ ถูกฝังอยู่ด้านล่าง และยังเล่าต่ออีกว่าหินอ่อนสีที่นำมาตกแต่งลวดลายภายในนั้นนำมาจากทุกมุมโลก เช่น จีน เบลเยี่ยม อิตาลี่ และอิหร่าน บางแผ่นบางด้านใช้เวลาทำนานนับสิบปี
เวลานัดหมายที่เราตกลงกันไว้ก่อนเข้าชมว่าเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เป้าหมายต่อไปคือป้อมแดงจึงต้องนั่งเกร่อรอกันไปรอกันมาเป็นนานสองนานกว่าจะครบและเคลื่อนขบวนได้ แต่ก็กลายเป็นเรื่องดีเพราะที่นี่หลายคนได้ของฝากติดไม้ติดมือไประหว่างรอ
ปีหนึ่งๆ จะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมทัชมาฮาลและป้อมแดงแห่งเมืองอัครา หลายล้านคน ด้วยความน่าอัศจรรย์ของตัวมันเองที่ไม่ต้องสรรค์สร้างปรุงแต่ง ทัชมาฮาลจึงสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับอินเดียและสร้างเศรษฐกิจให้กับเมืองนี้อย่างประมาณค่าไม่ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา (ค่าเข้าชมทัชมาฮาลสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนละ 20 US. ดอลล่าร์) เมืองอัคราจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด โรงแรมใหญ่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่นี่เราได้พักค้างคืนกันที่โรงแรมระดับห้าดาวของเมือง Holiday Inn ซึ่งเป็นเครือข่ายโรงแรมของอเมริกา มาตรฐานตะวันตกปกติลูกค้าหากเดินเข้ามาหาราคาค่าห้องอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 6,000 บาท/วัน เรื่องที่พักสำหรับการเดินทางในทริบนี้ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายจึงค่อนข้างเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่นในเส้นทางสู่โรงแรมที่พัก ผมนั่งนึกอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินไปและเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจว่า...คุณค่าของทัชมาฮาลอยู่ตรงไหน? บทวิพากษ์ทัชมาฮาลคนวิพากษ์ก็มีเหตุผลของตน เช่น ทัชมาฮาลถูกสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจและตัณหาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เบียดเบียนชีวิตแรงงาน ผลาญทรัพยากรไปเท่าไหร่ เป็นต้น ผมไม่ได้เห็นแย้งแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการวิพากษ์เหล่านั้นทั้งหมด คำตอบที่ได้ในห้วงคิดสั้นๆ วันนั้นกลับเป็นอีกมุม... ทัชมาฮาลมีเรื่องราวความเป็นมา ทัชมาฮาลมีความยิ่งใหญ่ ความสำเร็จเกิดจากความเพียรพยายามที่เหลือเชื่อเหนือธรรมดาของมนุษย์ ทัชมาฮาลยังมีอีกหลายคำตอบที่รอการค้นหาในมุมมองที่ต่างออกไป
นิวเดลฮี (NEW DELHI)
คนไทยนิยมเรียกเมืองหลวงของอินเดียว่า นิวเดลฮี (New Delhi) แต่คนอินเดียนิยมเรียกออกเสียงว่า เดลลี หรือ นิวเดลลี เราลาจากเมืองอัคราหลังอาหารเช้าของวันที่ 28 มีนาคม 2551 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงนิวเดลฮี ระยะทางเพียงประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง การจราจรเริ่มติดขัดบ้างเมื่อใกล้เมืองหลวง มีการจอดแวะตรงด่านเพื่อจ่ายค่าผ่านทางเมื่อข้ามรัฐจากรัฐอุตรประเทศเข้าสู่เขตเมืองหลวง ย่านอุตสาหกรรม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเริ่มหนาตาขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ตึกรามอาคารสูงๆ เริ่มผุดให้เห็นเป็นระยะๆ
นิวเดลฮี เป็นเมืองหลวงใหม่ที่ถูกออกแบบและวางแผนสร้างอย่างสวยงาม มีถนนเชื่อมต่อกันเป็นตารางโดยมีจุดเชื่อมเป็นวงเวียนและน้ำพุ มีต้นไม้หลายชนิดปลูกไว้เพื่อประดับตกแต่งและให้ร่มเงาริมฟุตบาททางเดิน มีการจัดแบ่งศูนย์การค้าและศูนย์ราชการเป็นสัดส่วน
รถราที่แล่นสวนไปมาอยู่บนท้องถนนของนครหลวงหรือทั่วๆ ไปในเส้นทางที่ผ่านมาหากไม่นับรวมรถมอร์เตอร์ไซค์และรถริกชอว์ (Rickshaw) หรือรถตุ๊กตุ๊ก (ริกชอว์ คือรถสามล้อมีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก สำหรับวิ่งโดยสารในระยะทางสั้นๆ) ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นรถยี่ห้อที่เมดอินอินเดีย คือ “TATA” หนึ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งเอเชียของอินเดีย ที่ปัจจุบันข้ามฝั่งไกลไปเทคโอเวอร์สองบริษัทรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกของอังกฤษคือ จาร์กัว และแลนด์โรเวอร์ ไว้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเดือนก่อนผู้ผลิตรถยนต์ TATA ของอินเดียก็เพิ่งเปิดตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคล TATA รุ่นหนึ่งซึ่งใช้พลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกที่สุดในโลก (ประมาณคันละ 60,000-80,000 บาท) แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาตินิยมอย่างหนึ่งซึ่งเชิดหน้าชูตาทำให้กับชาวอินเดียทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจ
แต่ตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเฝ้ามองอยู่สักเท่าไหร่ ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถปิคอัพสายพันธุ์ใหม่ “TATA ซีนอน” ที่กำลังบุกเบิกตลาดเมืองไทยเลยแม้แต่คันเดียว
เรามีเวลาไม่มากนักในนครหลวงนิวเดลฮี เพียงแค่จากบ่ายถึงค่ำ เราเข้าชมบ้านนางอินธิรา คานธี และนายราชีฟ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีแม่ลูกที่ต่างถูกลอบสังหารของอินเดีย รวมทั้งบ้านของมหาตมา คานธี ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน รัฐบาลอินเดียได้อนุรักษ์รักษาไว้อย่างดีเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา
Indian Gate หรือประตูชัยของอินเดีย อนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงทหารกล้าที่พลีชีพเพื่อชาติในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดสุดท้ายที่เราแวะชมในวันนั้น บรรยากาศบริเวณรอบๆ Indian Gate มองไปคล้ายกับสนามหลวง เป็นทั้งลานกิจกรรมของครอบครัว ลานเพื่อพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนทั่วไปทุกชนชั้น การละเล่น พ่อค้าหนุ่มตักน้ำจากหม้อดินเดินเร่ขายเป็นแก้วๆ มีลูกค้าอุดหนุนหนาตาเพราะเป็นบ่ายที่อากาศค่อนข้างอบอ้าว พ่อค้ารับเพ้นท์ฝ่ามือคล้ายรอยสักแต่ลบออกได้ง่ายยืนบริการลูกค้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วชำนิชำนาน เรามาใช้เวลาห้วงสุดท้ายก่อนอาหารเย็นด้วยการไปเทกระจาดเงินรูปีออกจากกระเป๋าในย่านการค้าแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังตลาด Chanpath กลางเมืองนิวเดลฮี ทั้งนี้เพื่อต้องการให้น้ำหนักของกระเป๋าและสัมภาระเบาลงก่อนขึ้นเครื่องเพื่อบินกลับ
เช้ามืดวันที่ 29 มีนาคม 2551 สายการบินแอร์อินเดียเที่ยวบินที่ IC 853 นำเราจากชมพูทวีปดินแดนแห่งพุทธภูมิกลับถึงดินแดนสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ เพียงห้าวันของการท่องเที่ยวไปนับเป็นห้วงเวลาที่แสนสั้นนัก ผิวเผินยิ่งดุจนกบินโฉบผ่าน กับการมาเยือนประเทศที่มีพลเมืองมากเป็นอันดับสองของโลก มีภาษาพูดมากกว่า 200 ภาษา มีพื้นที่กว้างขวางเป็นอนุทวีป เป็นแหล่งอารยะธรรมสำคัญแห่งหนึ่งของโลก แม้เพียงแค่นี้เราก็ได้เรียนรู้ได้ข้อคิดและได้ประสบการณ์มากมาย บางเรื่องน่านำไปขบคิดต่อ บางเรื่องตื้นตัน เหลือเชื่อ น่าขำระคนเห็นใจ ครบทุกรส ราวกับเป็นภาพยนตร์อินเดีย (Masala Movies) นำกลับมาเล่ากันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไม่จบไม่สิ้น
หลากหลายมิติที่ได้พบเห็นจากการมาเยือนดินแดนภารตะครั้งนี้ ส่งผลให้ทัศนะท่าทีและความเข้าใจต่อผู้คนบนผืนแผ่นดินที่มีจารีตขนบธรรมเนียมและโครงสร้างทางสังคมที่สลับซับซ้อนยิ่งแห่งนี้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น หลายมิติจะเป็นความทรงจำดีๆ ที่จารึกตรึงแน่นอยู่ในหัวใจของพวกเราตราบนาน
ขอบคุณ อินเดีย ที่สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้ให้
นมัสการ... !!!
ฉลอง สุขทอง เรื่อง/ภาพ
ต้นฤดูร้อนปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (2551) คณะครูอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์จำนวนหนึ่งนำโดยรองอธิการบดี อาจารย์สุดใจ สะอาดยิ่ง พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัย และท่าน ส.ว. (ผู้อาวุโสสูงวัย) ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จากหลายสาขาอาชีพของจังหวัดสุรินทร์ ทั้งหมด 32 ชีวิต รวมตัวพากันมาทัศนศึกษาและแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม ณ ประเทศอินเดีย ในนามของสำนักศิลปะและวัฒนธรรมที่เป็นต้นเรื่องและเจ้าของโครงการ โดยมีเป้าหมายศึกษาดูงานเยี่ยมชมโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในบริเวณดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ลุ่มแม่น้ำคงคาของอินเดียตอนเหนือ และเพื่อไปกราบนมัสการดินแดนสังเวชนีสถานสำคัญทางพุทธศาสนาบนเส้นทางบุญ เริ่มตั้งแต่เมืองพุทธคยา-พาราณสี-นิวเดลฮี-ทัชมาฮาล (สุสานรักอันเลื่องชื่อหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก) เป็นการทัศนาสรรพเรื่องราวของอนุทวีปแห่งนี้แบบย่นย่อเพียง 5 ทิวา/ราตรีการเตรียมการเตรียมความพร้อมเป็นไปด้วยความลุ้นระทึกทุกขั้นตอนเฉกเช่นการเดินทางไปต่างประเทศทุกๆ ครั้ง การประชุมวางแผนเดินคู่ขนานไปกับการประสานงาน จำนวนงบประมาณสัมพันธ์กับเส้นทาง พาหนะและจำนวนดาวของโรงแรมที่แวะพัก เมื่อได้กำหนดวันเดินทางเรียบร้อยการประชุมย่อยเพื่อเก็บรายละเอียดงานก็ตามมา หยูกยาเพื่อสุขภาพอนามัย ของใช้ ป้ายผ้า ป้ายชื่อ ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่สมาชิกผู้ร่วมเดินทางต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือการค้นคว้าหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอินเดียที่ทุกคนทุกฝ่ายไม่เฉพาะผู้ประสานงานเริ่มทำการบ้านกันตั้งแต่วินาทีแรกของการตัดสินใจร่วมขบวนการ
เปิดมิติ (OPEN SCENCE)
“อินเดีย” หรือ “อินดียา” หาใช่คำดั้งเดิมไม่ แต่เป็นชื่อใหม่ที่เราใช้เรียกประชาชนและชื่อประเทศ ตามประวัติแต่เดิมชาวเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) เรียกผู้คนแถบนี้ว่า “ฮินดุ” หรือ “สินธุ” ตามชื่อแม่น้ำสายสำคัญหนึ่งในสามสายของคาบสมุทรชมพูทวีป อีกสองสายคือ แม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำฮินดู (Indus River) ไหลผ่านตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู มีวัฒนธรรมแบบชาวฮินดู บ้างจึงเรียกกันว่า “ฮินดูสถาน” (หนังสือพิมพ์รายวันยอดนิยมของอินเดียฉบับหนึ่งก็ใช้ชื่อว่า “ฮินดูสถานไทม์” ) แต่ความเห็นของอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย นาย ยวาหรลาล เนรูห์ กลับไม่เห็นด้วยที่จะให้ใครต่อใครเรียกอินเดียในชื่อนี้ ท่านเห็นควรให้เรียกว่า “ฮินดี” เหตุผลก็เพราะอินเดียไม่ได้มีเฉพาะวัฒนธรรมฮินดู แต่อินเดียมีความหลากหลายในทุกด้าน ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า...
“India is geographical and an economic entity, a cultural unity amid diversity, a bundle of contradictions held together by strong but invisible threads.” (อินเดียมีชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และมีเอกภาพทางวัฒนธรรมท่ามกลางความแตกต่าง เป็นที่รวมของความขัดแย้งซึ่งยึดเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความผูกพันอันแข็งแกร่งแต่มองไม่เห็น)
อาจมองได้ว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเหตุผลทางด้านการเมืองที่ไม่ต้องการเห็นการแตกแยก แบ่งกลุ่ม เพราะอินเดียมีศาสนา ภาษา เชื้อสายของผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลายเป็นหนึ่งในแอ่งอารยะธรรมของโลก เพียงแต่มีวัฒนธรรมฮินดูเป็นวัฒนธรรมหลัก ความเห็นของเนรูห์ได้รับการตอบรับจากสังคมโลก ปัจจุบันโลกจึงเรียกขานประเทศและประชาชนบนคาบสมุทรแห่งเอเชียใต้กันทั่วไปว่า “ฮินดี” หรือ “อินเดีย”
ยังมีอีกคำหนึ่งซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่งนิยมใช้เรียกคนอินเดียและประเทศอินเดียด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่กว้างขวางมากนัก คือคำว่า “ภารตะ” ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “ภรต” จากมหากาพย์ชื่อดังของอินเดียเรื่อง “มหาภารตะ” หรือ “รามเกียรติ์” ที่คนไทยรู้จักดีนั่นเอง เปิดมิติผมจึงขอเลือกเอาชื่อนี้ที่ยังไม่แพร่หลายมากนักมาสื่อสารถึงคนกันเองเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคมและวิธีคิดของผู้คนในประเทศอู่อารยะธรรมสำคัญของซีกโลกตะวันออกเช่นอินเดีย ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดหรือรากเหง้าของวัฒนธรรมไทย ในมุมมองของเกล้ากระผม
พุทธคยา (BUDHGAYA)
เช้ามืดประมาณตีห้าของวันที่ 24 มีนาคม 2551 ผมและคณะเพื่อนร่วมทางทั้งหมดมาพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ซึ่งอันดับหนึ่งกับสองก็อยู่ในทวีปเอเชียเช่นกัน ข้อมูลการจัดอันดับเรทติ้งความยิ่งใหญ่ของสนามบินผมได้ยินจากผู้รู้เพื่อนร่วมทางของเราคนหนึ่งซึ่งเล่าบอกแก่สมาชิกบนรถบัสปรับอากาศสายสุรินทร์-โคราช พาหนะที่รับส่งคณะเราทั้งไปและกลับสำหรับการเดินทางครั้งนี้ เมื่อสองสามนาทีก่อนหน้าที่รถบัสจะเข้าจอดเทียบท่าชานชลาช่อง 9 ของอาคารผู้โดยสารขาออก
สายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ IC 730 พาหนะขนาดกลางนำพาทั้ง 32 ชีวิต พร้อมกับนักเดินทางแสวงบุญอีกคณะหนึ่งประมาณเท่าๆ กัน รวมแล้วทั้งผู้โดยสารและคณะนักบินบนเครื่องในวันนั้นไม่น่าจะเกิน 100 ชีวิต รวมไม่ถึงครึ่งของขนาดความจุของเครื่งเราจึงเลือกนั่งกันตามสบาย โดยมีจุดหมายปลายทางที่อยู่ห่างออกไปราว 4,000 กิโลเมตร ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนแห่งพุทธภูมิ เมืองพุทธคยา เราใช้เวลาบินข้ามเมียนมาร์และอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดียด้วยเวลาเพียง สามชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินเมืองพุทธคยา ตรงกับเวลาท้องถิ่นที่นั่น 10.30 น. (เวลาอินเดียช้ากว่าไทยหนึ่งชั่วโมงครึ่ง) ก่อนที่เจ้านกยักษ์จะร่อนลงแตะพื้นรันเวย์ผมสังเกตเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่หลายสายในรัศมีสายตาอยู่สภาพแห้งขอดราวกับเป็นลำธารของท้องทราย เหมือนส่งสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าฤดูร้อนกำลังนำความแห้งแล้งมาเยือนอินเดีย ไกด์นำทาง (พระครูดวง) ท่านเล่าบอกแก่เราว่าหากเป็น 2-3 เดือนก่อนหน้านี้เที่ยวบินนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสาร เพราะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวแสวงบุญของที่นี่ โชคดีนักท่องเที่ยวอาจมีโอกาสได้เห็นจริยวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ธิเบตจากเมืองธรรมศาลา (Dharamsala) ทางตอนเหนือของอินเดียนับร้อยๆ รูปลงมาปฏิบัติธรรมกันที่พุทธคยาระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ในบางปี “องค์ดาไลลามะ” ผู้นำพลัดถิ่นและผู้นำจิตวิญญาณของชาวธิเบตก็มักจะมาใช้เวลาในเดือนธันวาคมที่นี่ด้วยเช่นกัน
เมืองพุทธคยาหรือ คยา (Gaya) อยู่ห่างจาก ปัทนะ (Patna) เมืองหลวงของแคว้นพิหารหรือรัฐพิหารลงมาทางใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร ไกด์ท้องถิ่น “Kermlesh” และ “Deepak” เล่าบอกผมว่า รัฐนี้มีสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวคือที่นี่ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญชาวพุทธหลั่งไหลกันมาปีละนับล้านๆ คน เพื่อมาปฏิบัติธรรมเคารพกราบไหว้สถูปหรือวิหารมหาบดี (Mahabodhi Temple) รัฐพิหาร (Bihar) เป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของอินเดีย ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยมากไม่เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ที่หมุนตามวัฒนธรรมกระแสหลักของโลก วันนั้นเราไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยทันทีที่เก็บข้าวของสัมภาระขึ้นรถบัสเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางจากสนามบินมุ่งตรงไปกราบนมัสการสถูปมหาบดี สถานที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ องค์สถูปมีความสูงราว 30 เมตร มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นอิงแอบอยู่เป็นสัญลักษณ์ เรารวมตัวกันถ่ายรูปหมู่และทำสมาธิสวดมนต์กันใต้ต้นโพธิ์ใหญ่อยู่นานสองนาน สมาชิกบางกลุ่มแยกย้ายกระจายกันสำรวจบริเวณ บ้างก้มเก็บใบโพธิ์ที่หล่นพื้นเพื่อเป็นของฝากทรงคุณค่าแก่ญาติมิตรได้คนละหลายๆ ใบ เพราะเป็นช่วงโพธิ์ผลัดเปลี่ยนใบ บางคนไปนั่งรอรับจากมือพระสงฆ์ไทยที่บรรจงเขียนรูปพระพุทธรูปลงบนใบโพธิ์ด้วยปากกาเมจิกอย่างประณีตบรรจงและชำนิชำนาญ แลกกับการทำบุญถวายท่าน 10 รูปี 20 รูปี ตามแต่ศรัทธาเพราะท่านไม่ได้ร้องขอ ทราบภายหลังว่าอาจารย์ท่านก็เพิ่งเดินทางมาจากเมืองไทยเพื่อมาปฏิบัติธรรมและกราบนมัสการสังเวชนียสถานเช่นเดียวกัน ยามว่างจากการนั่งทำสมาธิบริเวณใต้ต้นโพธิ์ท่านก็หยิบใบโพธิ์ที่หล่นตรงหน้าขึ้นมาขีดเขียนเล่นๆ เป็นพระพุทธรูปญาติโยมมาเห็นเข้าก็มาขอทำบุญแบ่งเอาไป ด้วยฝีมือของท่านบวกกับความศรัทธาในสถานที่มุมนี้จึงกลายเป็นมุมไทยมุงย่อยๆ ในบางขณะ
ด้านหน้ารอบนอกตรงปากทางเข้าบริเวณองค์สถูปดารดาษไปด้วยร้านค้าและธุรกิจสารพัดชนิดที่ล้วนหวังเรียกและรีดเงินจากนักท่องเที่ยวนักแสวงบุญผู้ผ่านมา อาทิ ตรงปากทางเข้าด้านหน้ามีร้านขายดอกไม้พวงมาลัยเพื่อการทำบุญวางอยู่เรียงราย ถัดมาเป็นร้านขายพระพุธรูป ประคำ เทป ซีดี ธรรมะ ที่เห็นแปลกตาคือมุ้งกันยุงทรงตั้งรูปลักษณ์คล้ายคนนั่ง ออกแบบมาสำหรับผู้ที่นั่งสมาธิเป็นไอเดียที่เก๋ไก๋ด์ไม่เหมือนใครและเฉพาะตัวยิ่ง ถัดออกมาไกลหน่อยเป็นร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ ของฝาก เกสต์เฮ้าส์ ห้องพัก รวมไปถึงเด็กขอทานที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดเส้นทาง ซึ่งทุกธุรกิจพ่อค้าแขกได้โชว์ให้เห็นถึงเทคนิคและศิลปะการขายชั้นเซียน ด้วยการตื๊อ ตื๊อ และก็ตื๊อ จนเราอายไม่กล้าปฏิเสธ
เพื่อนคนหนึ่งมาฟ้องว่า... “ฉันซื้อซีดีธรรมมะมาแล้ว 1 แผ่น จากราคาขายทีแรกบอก 120 รูปี ฉันต่อรองได้ราคา 50 รูปี สุดแสนจะดีใจ แต่แขกขายคนเดิมไม่ยอมไปไหนยังตามตื๊อจะขอขายให้ฉันอีกในราคาใหม่ 4 แผ่น 100 อ้างว่าเพื่อสมนาคุณ เธอเรียนการตลาดมา ช่วยบอกฉันทีนี่มันอะไร
กัน..ฉันถูกหลอกหรือเปล่า?”
ผมฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า (กิริยาอาการส่ายหน้าของ
คนอินเดียแปลความหมายได้ว่าใช่หรือเห็นด้วย)
เรากลับมาทานเที่ยงและเข้าพัก ณ โรงแรมโตเกียว (Tokyo Hotel) ในคืนแรกของการเดินทาง ผมเข้าใจเองว่าเจ้าของโรงแรมคงไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นแต่ที่ใช้ชื่อนี้เพราะโรงแรมตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าวัดญี่ปุ่น โปรแกรมที่ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองพุทธคยาคือการได้ทัวร์ชมวัดนานาชาติ โดยรัฐบาลอินเดียได้จัดสรรพื้นที่ชั้นในของเมืองไว้ให้ประเทศที่มีพลเมืองนับถือพุทธศาสนาได้มาสร้างวัดในแบบฉบับที่เป็นของตนเองไว้ ที่นี่จึงมีทั้ง วัดไทย ญี่ปุ่น พม่า จีน ทิเบต เนปาล ภูฏาน บ่ายวันนั้นเราจึงเพลิดเพลินกับการเดินชมศิลปะความงามของวัดนานาชาติ ดูความประณีตของศิลปกรรมการก่อสร้างอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชาติพร้อมๆ ไปกับการเที่ยวดูวิถีชีวิตของผู้คนชาวเมืองพุทธคยา ซึ่งเราสัมผัสได้กับม่านแห่งความยากจนที่แผ่ปกคลุมอยู่ทั่วไป ยากที่จะหาความเป็นระบบระเบียบใดได้ แต่กิจกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างก็สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจฉงนสนเท่ห์แก่หมู่คณะเราได้หลายอย่างในเส้นทางชมเมือง อาทิ เราได้พบเห็นการปั้นก้อนขี้วัวเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร โดยนำขี้วัวเปียกมาคลุกเคล้าผสมกับแกลบปั้นตากเป็นก้อนแบนๆ แปะไว้กับฝาบ้านและพื้นดินเป็นแถวแนวอย่างเป็นระเบียบ ที่ตากแห้งแล้วก็เรียงเก็บไว้เป็นกองๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างสำหรับไว้ใช้เองและไว้ขาย ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในชุมชนแห่งนี้ ภายหลังเราพบว่าตลอดเส้นทางของการเดินทางในทริบนี้ตั้งแต่เมืองพุทธคยาจนถึงนิวเดลฮี กิจกรรมเช่นว่านี้มีให้เห็นอยู่ตลอด
“หรืออาหารที่เรารับประทานกันก็ผ่านการปรุงด้วยเชื้อเพลิงก้อนขี้วัวตากแห้งนี้ด้วย?” ใครคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ ระหว่างเดินทางกลับที่พัก
“…………” เงียบ ไร้เสียงตอบ
เรื่องเชื้อเพลิงขี้วัวตากแห้งได้กลายเป็นประเด็นหลักของหัวข้อการสนทนาในวันต่อๆ มาบนรถ ด้วยวิธีการ focus group แบบเข้มข้น บางคนที่ลุ่มลึกมีการเปรียบเทียบในทุกมิติ ทั้งด้านส่วนผสม ขนาดและรูปทรงของการปั้นก้อนว่ามัน เล็ก ใหญ่ ทรงกลม ทรงเหลี่ยม หรือ รี
สำหรับที่นี่แล้วนักท่องเที่ยวไทยเป็นกลุ่มที่มีเสน่ห์มากที่สุด ได้รับความนิยมชมชอบจากเหล่าพ่อค้า ขอทานและแขกมุงเป็นอย่างยิ่ง เดินไปทางไหนมีแต่แขกห้อมล้อม เพราะคนไทยใจบุญสุนทานและมีนิสัยชอบซื้อ ซื้อทุกโอกาส ซื้อได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า “ขึ้นรถเป็นหลับ ขยับเป็นซื้อ” สามารถบ่งบอกคุณลักษณะของนักท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดีและดูเหมือนว่ากลุ่มแขกมุงก็รู้จักนิสัยในข้อนี้ของคนไทยดีมากเช่นเดียวกัน ส่วนขอทานก็รู้ว่าคนไทยใจดีชอบบริจาคทาน การเคลื่อนขบวนของเราจากจุดต่อจุดจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าเพราะกว่าจะแหวกม่านมลภาวะแขกมุงมาขึ้นรถได้ครบทุกคนต้องใช้เวลาและลุ้นระทึก คนแล้วคนเล่า การอวดโชว์และเปรียบเทียบว่าใครซื้อของได้ถูกแพงกว่ากันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การบริหารเวลาให้เป็นไปตามโปรแกรมที่วางไว้ทำได้ยาก เพราะศักดิ์ศรีเรื่องซื้อของได้แพงกว่ายอมกันไม่ได้แต่กระเป๋าฉีกไปเท่าไรเราไม่คำนึงถึง หนักเข้าเมื่อถึงจุดแวะชมบางจุดบางคนจึงตัดปัญหาเพียงนั่งรออยู่บนรถไม่ยอมลงไปชม ถ่ายรูปก็เพียงใช้กล้องซูมถ่ายเอาในระยะไกลแทน
โพล้เพล้ใกล้พลบค่ำในวันนั้นเราได้ไปเยี่ยมชมบ้านนางสุชาดา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราด้านทิศตะวันออก มีสะพานคอนกรีตทอดข้ามไประยะทางยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร สภาพแม่น้ำที่เห็นมีแต่ท้องทรายขาวโพลนหามีน้ำไม่ ไกด์บอกเราว่าในฤดูฝนจะมีน้ำหลากเอ่อล้นฝั่งและจะแห้งเหือดหายไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่อปลายฝนเช่นเดียวกับแม่น้ำสายสั้นๆ ทั่วไปในรัฐพิหาร จินตนาการของผมจึงเจอทางตันบันเจิดต่อไม่ได้ว่า เมื่อครั้งที่นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาสแก่องค์พระศาสดาแล้ว ขณะนำถาดมาล้างทำความสะอาดริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานางได้อธิษฐานในใจว่า “หากพระศาสดาผู้นี้สามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในวันใดวันหนึ่งภายภาคหน้า ก็ขอให้ถาดภาชนะใส่อาหารนี้ลอยทวนน้ำขึ้นไปด้วยเถิด...” ปรากฏว่าคำอธิษฐานของนางเป็นจริง ถาดใส่อาหารลอยทวนน้ำขึ้นไปทางเหนือ แต่ในวันนี้เนรัญชรามีเพียงท้องทรายไม่มีน้ำแม้เพียงหยดหรือสายน้ำนี้จะชราเหมือนชื่อ ท่าน้ำตรงจุดที่นางสุชาดานั่งอธิษฐานยังมีต้นโพธิ์ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ให้เห็น ส่วนบ้านนางสุชาดาอยู่ห่างจากท่าน้ำเข้าไปไม่ไกลนัก สภาพปัจจุบันที่เห็นบ้านนางสุชาดาเป็นสถูปก่อสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยอิฐแดงฐานกว้างมีความสูงในราว 5 -7 เมตร ห้อมล้อมด้วยย่านชุมชนเกษตรปลูกข้าวสาลีและฟาร์มเลี้ยงสัตว์โดยรอบ
คนเลี้ยงวัวเดินเทินหญ้าฟ่อนใหญ่ไว้เหนือศีรษะเคลื่อนเข้าใกล้มาทุกทีๆ ทันทีที่แลเห็นคณะของเราเขารีบทิ้งฟ่อนหญ้าวัวแล้วเกร่เข้ามาผสมโรงกับเด็กขอทานและแขกมุงที่ยืนออรออยู่ก่อนแล้ว ปากเปล่งเสียงร้องเรียกเป็นคำไทยว่า “อาจารย์ อาจารย์ ...” พร้อมแสดงปฏิกิริยาห่อมือยื่นไปจ่อที่ปากตัวเองเพื่อขอเงินค่าอาหารด้วยทีท่าอาการที่คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติยิ่งราวกับอยู่ในสายเลือด
ผมรีบกระโดดขึ้นมานั่งบนรถในทันทีที่รถบัสเคลื่อนมารอรับ นั่งมองดูความชุนละมุนวุ่นวายบริเวณ ประตูทางขึ้นรถบัสที่บัดนี้ตะลบอบอวลไปด้วยฝุ่นและเริ่มขุ่นด้วยอารมณ์
เราข้ามกลับมาทำวัดสวดมนต์เย็นที่เจดีย์มหาบดีอีกครั้งเมื่อแสงแห่งวันหมดไป อากาศเริ่มเย็นลงบ้าง ไฟแสงสีจากหลอดนีออนอาบทาองค์สถูปจากฐานไปถึงยอดให้ภาพที่งดงามจับใจยิ่ง เสียงสวดมนต์ทำนองพุทธนิกายมหายานจากเครื่องขยายเสียง “บุดดัง สะระนัง คัจฉามิ... ดัมมัง สะระนัง...” ดังก้องกังวานไปทั่วทิศให้ความรู้สึกขลังและศักดิ์สิทธิ์ บริเวณรอบๆ องค์สถูปยังคงเนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนพระสงฆ์และเหล่าบรรดาสาวกที่ยิ่งจะดูหนาตากว่าตอนกลางวัน ในมุมหนึ่งตรงด้านหน้าพระมหาเจดีย์ผมนั่งดูผู้คนเดินจงกรมเวียนเทียนผ่านไปมาจนตาหลับพริ้มพร่ามัว ในดวงจิตเลื่อนลอยไกลคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหาเป็นสมาธิไม่ กระทั่งมีใครบางคนมาสะกิดที่แขน ภาพตรงหน้าที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเป็นภิกษุหนุ่มในพุทธศาสนาแต่ลักษณะการครองจีวรแปลกไม่คุ้นตา หน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอินเดีย ครั้นเมื่อได้พูดคุยจึงรู้ว่าท่านเป็นพระนักศึกษามาจากเมืองจิตตะกอง เมือท่าทางตอนใต้ของประเทศบังคลาเทศ ค่อนไปทางชายแดนประเทศพม่าหรือเมียนม่าร์ เราแลกเปลี่ยนทัศนะกันตามประสาของมิตรหน้าใหม่ แต่ก่อนจะแยกย้ายท่านทิ้งท้ายท่อนฮุกว่า...
“โยม อาตมาขออนุโมทนาเงินค่าเล่าเรียนในอินเดีย 100 รูปี เพราะอาตมาไม่มีรายได้ไม่มีพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียวที่นี่” ประสบการณ์การขอหลายรูปแบบที่พบเจอในวันนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ในทันที
“อีกแล้ว Beggar !!!” ผมร้องในใจ ก่อนควักหยิบเงินรูปีให้อย่างไม่มีทางเลือก
ค่ำวันนั้นผมเดินตามหมู่คณะออกมาจากองค์สถูปมหาบดีแห่งเมืองพุทธคยาเกือบเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำเล็กๆ ในใจแข่งกับเสียงบทสวด
พาราณสี (VARANASI)
เป้าหมายการเดินทางของเราวันนี้อยู่ที่เมือง พาราณสี (Varanasi) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง นั่นคือข้อมูลที่ทุกคนรับทราบพร้อมกันบนโต๊ะอาหารเช้า จากนั้นในราวเจ็ดโมงครึ่งเราจึงต่างพร้อมออกเดินทาง การปรับตัวเพื่อตื่นให้ทันเวลานัดหมายมีปัญหาบ้างสำหรับบางคนทั้งนี้เพราะเป็นการเดินทางคืนแรกร่างกายต้องการเวลาเพื่อการปรับตัว เรื่องอาหารสามมื้อมี่ผ่านมาทุกคนก็ไม่มีปัญหา อาหารที่เสิร์ฟมีข้าว มีแกงไก่ ไข่ต้ม ไข่เจียว ซุป มีอาหารอินเดียให้ได้ลองลิ้มชิมรสด้วย ได้แก่ จาปาตี ปุรี หรือ นัน และดาล ให้เราเลือกอร่อย แต่ในกระเป๋าทุกใบของพวกเราก็มีทั้งน้ำพริก น้ำปลา มาม่า ไวไว ตุนมาไว้มากมายเหมือนกัน บนโต๊ะอาหารในมื้อหลังๆ หลังจากที่ให้อาหารอินเดียเป็นพระเอกฉายเดี่ยวมา 3-4 มื้อ ก็เริ่มมีน้ำพริกน้ำปลามาปะปนกลายเป็นเมนูลูกผสม เช่น จาปาตีจิ้มแจ่ว รสชาติที่เราสรรค์สร้างกันขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับลูกผสมไทย-อินเดีย
จากพุทธคยา เรามุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2 ไปยังนครโบราณที่มีอายุเก่าแก่ราว 3000 ปี ระยะห่างตามป้ายบอกทางระบุเพียง 200 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง ผมคิดตั้งข้อสังเกตในใจ แต่ความสงสัยเริ่มหายไปเมื่อเราออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง เส้นทางสี่เลนส์ของทางหลวงสายหลักหมายเลข 2 ซึ่งเชื่อมสองเมืองใหญ่ Kolkata หรือ กัลกัตตา ที่คนไทยรู้จัก กับนิวเดลฮี เมืองหลวง ลากตัดผ่านท้องทุ่งที่ราบส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศและผ่านเมืองสำคัญๆ อีกหลายเมือง แต่ถนนหนทางกลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายบางช่วงกำลังก่อสร้างรถต้องข้ามเลนส์ไปวิ่งอีกด้าน มีอุบัติเหตุระหว่างทางเกิดขึ้นหลายจุด รถบัสเราสามารถทำความเร็วได้เฉลี่ยเพียง 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราจึงเดินทางกันอย่างหวานเย็นช้าๆ เนิบๆ แต่ก็เพลิดเพลินกับวิวทุ่งข้าวสาลีสองข้างทางที่กำลังออกรวงอร่ามสลับกับชุมชนและเมือง สนุกสนานได้ความรู้กับเรื่องราวที่สมาชิกแต่ละคนหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเล่าตามประสบการณ์ ด้วยอารมณ์และเหตุผลในมุมมองของตนเอง นั่นเป็นวิธีร่นระยะทางไกลๆ ให้ใกล้ขึ้นของพวกเรา
ยามเช้าเมื่อเราแล่นผ่านชุมชนคำบอกเล่าหรือเรื่องราวที่เคยรับรู้มาเกี่ยวกับการขับถ่ายริมทางของคนอินเดียก็ทำให้หลายคนตื่นเต้นเริ่มส่ายตามองหาเพื่อพิสูจน์ความจริงเมื่อเห็นก็ชี้ชวนกันดู เนื่องจากเป็นยามเช้าการขับถ่ายจึงเป็นเรื่องปกติ มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทำกิจวัตรปลดทุกข์ตนไปโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อสายตาอาคันตุกะอย่างพวกเราแต่ประการใด เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นไฮไลท์ของการสนทนาบนรถในห้วงนั้น ซึ่งกินเวลาเนิ่นนานจนแทบจะหาบทสรุปไม่ได้
ความเห็นที่ 1 “ท่าน ถามหน่อยเถอะเขาไม่อายบ้างหรือไง นั่งประจันหน้ากันอย่างนั้น?”
ความเห็นที่ 2 “อุจจาระ (ขี้) คนแขกคงไม่เหม็นนะ เพราะส่วนใหญ่เขาทานมังสะวิรัติ?”
ความเห็นที่ 3 “ไม่นะ ไม่ทันได้ส่งกลิ่นหรือย่อยสลายหรอก เห็นไหมหมูกระโดนทำหน้าที่เทศบาลมาจัดการเก็บกวาดแล้ว”
ความเห็นที่ 4 “ทำไมไม่ค่อยเห็นมีผู้หญิง มานั่งถ่ายอย่างนี้บ้างเลย?”
ความเห็นที่ 5 “มี แต่เขาใช้ส่าหรีคลุมหมดมิดชิด โน่นไงเห็นไหมนั่งอยู่ไกลๆ”
ความเห็นที่ 6 “…….???”
การสนทนาคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงไกด์ร้องบอกให้ทุกคนเข้าห้องน้ำเพื่อปล่อยหนักปล่อยเบาเมื่อรถบัสจอดแอบได้ที่เหมาะๆ ข้างทาง สภาพห้องน้ำของเราในวันแรกของการเดินทางไกลไม่ได้แตกต่างจากชุมชนริมทางของอินเดียที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่แต่อย่างใด ห้องน้ำเป็นพุ่มไม้สลับทุ่งข้าวสาลี จอดครั้งแรกบางคนยังอิดออดอดกลั้นไว้อยู่ครั้นพอเนิ่นนานผ่านไปจอดสองจอดสาม ความจำเป็นบีบบังคับให้เกิดการทดลองเรียนรู้ ผู้หญิงมีผ้าถุงไว้ห่มคลุม ผู้ชายมีพุ่มไม้ไว้กำบัง ต่างคนต่างเลือกที่ที่เหมาะกับสภาพของตนเองเพื่อปลดปล่อย จอดทุกครั้งในการเดินทางวันหลังๆ กิจกรรมที่ว่าดำเนินไหลลื่นไปราวกับเป็นปกติ (อาจกล้าแม้ปล่อยหนักหากจำเป็น)
“นับเป็นการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมและเข้าถึงจิตวิญญาณอินเดียโดยแท้” ใครบางคนกล่าวสรุปปิดประเด็นความเห็น
การเดินทางไกลในอินเดียโดยรถยนต์บนถนนหลวงหาได้สะดวกสบายเหมือนการเดินทางในบ้านเราไม่ นานๆ ครั้งเราจึงจะเจอปั๊มน้ำมัน สภาพปั๊มน้ำมันหลายแห่งก็ไม่ได้มีห้องน้ำไว้บริการลูกค้าแม้กระทั่งใกล้เมืองใหญ่ เข้าใจว่าผู้ประกอบการเขาคงไม่ให้ความสำคัญ น้ำมันเติมได้แต่ขับถ่ายต้องช่วยตัวเอง เราจึงต้องแวะเก็บดอกไม้และยิงกระต่ายระหว่างทางเรื่อยไป
ฉะนั้นกลยุทธ์ที่เป็นจุดขายของปั๊มน้ำมันในบ้านเราที่ขึ้นป้ายใหญ่ๆ ว่า “ห้องน้ำสะอาด” เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ สำหรับที่นี่แล้วคงไม่ได้ผล
เล่ากันว่า (แต่ไม่มีการยืนยันแหล่งข่าวว่าจริงเท็จอย่างไร) การขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทางของคนอินเดียเกิดขึ้นในยุคสมัยท่านมหาตมา คานธี อดีตผู้นำที่ได้รับการยอมรับสูงสุดและเปรียบเป็นพ่อแห่งชาติของคนอินเดียทั้งมวลในเวลาต่อมา เวลานั้นท่านได้พาพลเมืองอินเดียต่อต้านอังกฤษด้วยหลักอหิงสา โดยงัดเอากลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อต้องการให้อังกฤษปลดปล่อยอินเดียด้วยวิธีการสันติวิธีไม่มีความรุนแรง หนึ่งในนั้นคือการถ่มน้ำหมากน้ำลายและการขับถ่ายในที่สาธารณะ เนื่องจากอังกฤษเป็นพวกผู้ดีตีนแดงคงทนไม่ได้กับความสกปรกไร้ระเบียบ ซึ่งท้ายที่สุดคานธีก็สามารถปลดปล่อยอินเดียได้สำเร็จ แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามาตรการไหนมีผลกดดันต่ออังกฤษมากที่สุด
แต่วิธีการเช่นว่านี้คงใช้ไม่ได้ผลกับคนที่ขับถ่ายอย่างมีระเบียบเป็นที่เป็นทางแต่มีนิสัยชอบกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะคนจำพวกนี้หาประโยชน์ใดไม่ได้เลยหากยึดตามหลักอหิงสา (ฮา!)
ทางหลวงหมายเลข 2 มุ่งเข้าสู่เมืองพาราณสีทางด้านทิศใต้ ก่อนถึงเมืองเราได้ข้ามผ่านสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำคงคา สายน้ำแห่งความเชื่อและความศรัทธาของชนชาวฮินดู ปริมาณน้ำในแม่น้ำคงคาเวลานี้มีประมาณหนึ่งในสามส่วน ต่างจากแม่น้ำอีกหลายสายในเส้นทางที่ผ่านมาซึ่งมีแต่ทราย ประมาณเที่ยงเราจึงสามารถฝ่าความจอแจของผู้คนวัวควายที่มากมายขวักไขว่ สภาพการจราจรแออัดบริเวณชานเมืองและตัวเมืองมาถึงบริเวณชั้นในได้สำเร็จ มองเห็นโรงแรม “Ideal Tower” ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า โดยพกพาดีกรีระดับสี่ดาวรอรับการมาเยือนของพวกเรา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของโรงแรมบอกผมว่า ราคาห้องเตียงคู่ในยามปกติที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวอยู่ที่วันละ 4,500 รูปี ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเบาบางลงทันทีที่เข้าสู่ที่รโหฐานและเป็นส่วนตัวเฉพาะหมู่คณะ
บ่ายวันนั้นเราเดินทางไปชมสถานพิพิธภัณฑ์เมืองสารนารถ อยู่ห่างจากโรงแรมในราว 12 กิโลเมตร ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาพระพุทธรูปปางแสดงธรรมศิลปะแบบสารนารถไว้จำนวนมาก ลักษณะทางพุทธศิลป์งดงามอ่อนช้อย แต่น่าเสียดายที่เกือบทุกองค์มีร่องรอยของการทำลาย มีตำหนิ จมูกหัก แขนขาหัก เป็นการจงใจทำลายให้เสียลักษณะ หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ในศตวรรษที่ 11 กลุ่มมุสลิมได้เข้ารุกรานเมืองพาราณสี นำโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุลพระเจ้า Aurangzeb ได้เข้าทำลายเมือง ศาสนสถานและรูปเคารพทั้งของพุทธและฮินดูหลายแห่ง วัดฮินดูหลายแห่งถูกเปลี่ยนไปเป็นสุเหร่าแทน
จากนั้นเราไปต่อยังสถูป สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จตามไปพบกับปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 หลังจากทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และธรรมเมกสถูป สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันเพื่อทรงโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ ที่นี่เราได้พบกับนักแสวงบุญชาวไทยหลายคณะ ส่วนใหญ่นำทีมธรรมะทัศนาจรโดยพระสงฆ์ทั้งจากเมืองไทยและจากวัดไทยในอินเดีย กิจกรรมระหว่างมาแสวงบุญ ได้แก่ การนั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม ตามมุมตามบริเวณต่างๆ รายรอบองค์สถูป พระอาจารย์ดวงไกด์ผู้นำทีมก็พาพวกเรานั่งสวดมนต์ภาวะนาทำทักษิณาวัตรด้วยเช่นกัน บริเวณใต้ต้นสะเดาอินเดียโดยมีองค์ธรรม เมกสถูปอยู่เบื้องหน้า
ในเส้นทางขากลับโรงแรมเราแวะชมโรงงานทอผ้าไหมเลื่องชื่อของเมืองพาราณสีเพื่อซื้อหาของฝากของที่ระลึก ซึ่งแรงงานทอผ้าที่นี่เป็นผู้ชายล้วนทำงานด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่ว ผมลองเปรียบเทียบราคาขายกับผ้าไหมไทยพบว่าที่นี่ราคาสูงกว่าเป็นเท่าตัว และถึงแม้ว่าเราจะมาจากดินแดนแห่งสุดยอดผ้าไหมไทย วันนั้นพนักงานขายชาย 2 คนของร้านก็ได้ทำหน้าที่จนมือเป็นระวิงจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนรถออก
บนโต๊ะอาหารของโรงแรมค่ำนั้นกลุ่มที่อ้อยอิ่งรั้งท้ายคือ ก๊วนหนุ่มใหญ่ไกลบ้าน ที่แยกตัวออกมาสนทนาปัญหาบ้านเมืองตามประสา การพูดคุยเริ่มยืดเยื้อและคึกคักออกรสชาติเป็นพิเศษเพราะดีกรีของ “King Fisher” และ “Royal Challenge” เบียร์ดีกรีพอเหมาะราคาพอดี 150 รูปี/ขวด ขวดแล้วขวดเล่าต่อเนื่องถูกสั่งมาเป็นระยะไม่ขาดตอนนัยว่าเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าจากการเดินทาง กระทั่งใครคนหนึ่งเปิดประเด็นเรื่องการนวดเพื่อคลายเส้นขึ้นมา เพราะอินเดียก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องนี้ ทุกเสียงร้องขานรับพร้อมเพรียง ผมในฐานะผู้ประสานงานจึงต้องทำหน้าที่หาข้อมูลเรียกพนักงานมาตอบข้อซักถาม และเป็นจริงดังคาดวงสนทนาที่กำลังได้ที่สลายตัวเร็วกว่ากำหนด เพราะคำตอบที่ทุกคนใจจดใจจ่อรอฟังได้ความว่า...
“ชายนวดชาย หญิงนวดหญิง ห้ามสลับเพศโดยเด็ดขาด!” เป็นคำตอบสุดท้าย ไม่มีใครกล้าคิดอะไรต่อ อาการเมื่อยขบมลายหายเป็นปลิดทิ้ง!
ตี 5 วันต่อมา ทุกคนมาพร้อมกันที่หน้าโรงแรมเพื่อโปรแกรมสำคัญคือ ล่องเรือชมแม่น้ำคงคา จัดเป็นไฮไลท์หนึ่งของการมาทัศนศึกษาในครั้งนี้ เรามาถึงริมฝั่งแม่น้ำคงคาขณะที่มองยังไม่เห็นเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งคงคาที่เรียกกันว่า “ฝั่งนรก” ทั้งนี้เพราะไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ หากจะเปรียบเทียบให้เกินไปก็คือไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ระหว่างทางเดินเพื่อมายังท่าน้ำร้านรวงยังคงปิดเงียบสนิท ขอทานและนักบวชนอนเรียงรายอยู่บนฟุตบาททางเท้าสลับกับพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่เร่ขายดอกไม้สดแก่นักแสวงบุญ
เนื่องจากท่าน้ำคงคาบริเวณเมืองพาราณสีผูกโยงอยู่กับความเชื่อความศรัทธาของฮินดูชนมานานนับพันๆ ปี รัฐบาลอินเดียจึงไม่อนุญาตให้ใช้เรือที่มีเครื่องยนต์หรือแม้แต่เรือหางยาว คณะเรา 32 ชีวิต จึงแออัดกันลงไปในเรือแจวลำใหญ่ รุ่งสางเราค่อยๆ ล่องทวนน้ำขึ้นไปชมโบสถ์วิหาร ชมท่าอาบน้ำที่มีนักแสวงบุญลงมาดำผุดดำว่าย บางรายกำลังปลงผมอยู่ริมฝั่งโดยมีนักบวชในชุดเหลืองคอยทำพิธีให้ การได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายในพระแม่คงคาสำหรับชาวฮินดูแล้วถือเป็นการชำระบาป เพื่อให้กลายเป็นคนบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาที่พาราณสีไม่เคยขาด เราวกกลับตามสายน้ำมุ่งขึ้นเหนือ (แม่น้ำคงคาในจุดนี้ไหลวกขึ้นเหนือ) เพื่อมายังท่า “Manikarnika” ซึ่งเป็นท่าสำหรับเผาศพ เป็นการเผาด้วยฟืนมีกองฟืนกองเรียงรายอยู่ริมฌาปนสถาน เช่นเดียวกับศพวันนั้นกำลังเผาอยู่ 2 ศพ และรอคิวเผาอยู่อีก 4-5 ศพ พิธีการดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ญาติเพียงนำศพมาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการฌาปนกิจ คอยกำกับดูแลให้ศพถูกเผาไหม้จนหมดจากนั้นจึงโกยขี้เถ้าลงสู่แม่น้ำคงคา (การลอยอังคาร) เป็นอันเสร็จพิธี เล่ากันว่านับเวลากว่าพันปีแล้วที่แสงไฟจากการเผาศพที่ท่านี้ไม่เคยมอดดับ ปัจจุบันท่าเผาศพบางท่าได้วิวัฒนาการมาใช้แก๊สหรือไฟฟ้าแทนบ้างแล้วทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่ญาติที่มีกำลังซื้อจัดเป็นลูกค้าอีกระดับหนึ่ง ซึ่งการรับฌาปนกิจได้กลายมาเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ดีไม่น้อยไปกว่าการให้เช่าเรือหรือธุรกิจอื่นๆ
ธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่เห็นมีอยู่มากแต่อาจสร้างความรำคาญให้กับนักท่องเที่ยวบ้างคือ การขายของที่ระลึกและการขายปลาเพื่อปล่อยในแม่น้ำคงคา พ่อค้าเหล่านี้จะค้าขายโดยล่องเรือมาประกบกับเรือนักท่องเที่ยวแล้วเกาะติดกันไปตลอดจนกว่าจะขึ้นฝั่ง ความฉลาดที่สามารถพูดไทยได้บ้างบางคำและการรู้จักจริตนิสัยคนไทยทำให้พ่อค้าเหล่านี้ดำรงชีพและหาเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้
บรรยากาศยามเช้าของแม่น้ำคงคาแม้จะดูพลุกพล่านอยู่บ้างแต่ก็ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตหลายประการ การเปรียบเปรยนรกอยู่ฝั่งหนึ่งสวรรค์อยู่อีกฝั่งหนึ่งเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบาย ความตายเพียงอยู่ใกล้เราแค่เอื้อมศพแล้วศพเล่าที่มอดไหม้ การแข่งขัน การสะสม ท้ายที่สุดแล้วใครก็ไม่สามารถพาอะไรติดตัวไปได้ นั่นต่างหากที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต
คานปูร์ (KANPUR)
หลังกลับมาจากล่องเรือในแม่น้ำคงคา และปล่อยปลาเพื่อเอาบุญสำหรับบางคน เราก็กลับมาเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ ซึ่งเป้าหมายของเราที่ต้องการไปให้ถึงคือ เมืองอัครา ในรัฐอุตรประเทศ (Uttar Pradesh) เช่นเดียวกับเมืองพาราณสี แต่เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ยาวไกลเกือบ 700 กิโลเมตร เราจึงจำเป็นต้องพักแรมระหว่างทางก่อนหนึ่งคืน ตามแผนจุดที่เราจะแวะพักคือเมือง คานปูร์ (Kanpur) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นอุตสาหกรรมใหม่ตอนกลางของอินเดีย
เราเดินทางผ่านท้องทุ่งที่ราบอันกว้างใหญ่ผ่านแหล่งเพาะปลูกเขตเกษตรกรรมของอินเดีย นอกเหนือจากข้าวสาลีแล้วยังมีไร่หอมและมันฝรั่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา น้ำสำหรับทำการเกษตรส่วนใหญ่เป็นน้ำบาดาลที่เกษตรกรสูบขึ้นมาแล้วปล่อยให้ไหลไปตามร่องน้ำในแปลงเกษตร น้อยนักที่เราจะได้เห็นคลองส่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อการเกษตรและชลประทาน ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่ง เราจึงเห็นรถขนมันมาจอดออรอขายที่หน้าโรงงานเป็นทิวแถวคล้ายกับรถบรรทุกอ้อย มันสำปะหลังหรือบรรทุกไม้ยูคาในบ้านเรา
เมื้อเที่ยงระหว่างทางเป็นข้าวกล่องที่นำมาจากโรงแรม เราทานกันง่ายๆ บนรถช่วงที่แล่นผ่านเมือง Allahabad เพื่อทำเวลา ไกด์เล่าว่าเมืองนี้มีความสำคัญเพราะเป็นบ้านเกิดของอดีตผู้นำสตรีของอินเดียที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงเหล็กแห่งเอเชียคือ นางอินธิรา คานธี แห่งครอบครัวเนห์รู อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญเพราะเป็นจุดที่แม่น้ำคงคากับแม่น้ำยมุนาไหลมารวมกัน ที่นี่จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวฮินดู กล่าวคือทุกๆ 12 ปี จะมีชาวฮินดูจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันเพื่อชำระล้างบาปในเทศกาลที่เรียกว่า “Kumbh Mela” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลงานบุญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังภาพข่าวต่างประเทศที่เราเคยรู้เคยเห็น แต่วันนี้ภาพที่เราเห็นมีเพียงสายน้ำขนาดใหญ่ที่แห้งขอด ในทุ่งข้าวสาลีสองข้างทางบางครั้งเราเห็นฝูงนกยูง 4-5 ตัวหากินอยู่ด้วยกันในสภาพตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับนกกระเรียนตีนแดงสีขาวเทาตัวใหญ่ที่จับคู่หากินอยู่ในนา ขณะที่แปลงนาถัดไปชาวนากำลังลงแขกเก็บเกี่ยวมันฝรั่งผลผลิตของตน เป็นสรรพชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว มีซากสัตว์ซากวัวควายตายอยู่ริมทางบ้างก็เป็นอาหารอันโอชะของฝูงแร้งกา ซึ่งบินร่อนระบายฟ้าอยู่เบื้องบนรอคอยจังหวะให้รถแล่นผ่าน
เราเดินทางมาถึงชานเมืองคานปูร์ในราวห้าโมงเย็น ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาตั้งแต่พาราณสี มาจนถึงคานปูร์ ผมเก็บงำความสงสัยประการหนึ่งในใจมาตลอด กล่าวคือผมสังเกตเห็นบริเวณย่านชานเมืองตั้งแต่พุทธคยา มาพารณสี และมาถึงคานปูร์ มีการล้อมรั้วก่อกำแพงแบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ ไว้มากมาย แต่หาได้ทำประโยชน์อย่างใดไม่ ความสงสัยมากระจ่างเมื่อย่างเข้าสู่คานปูร์ Deepak ผู้รู้อธิบายว่า นี่คือการจัดสรรที่ดินเพื่อแบ่งขาย หากไม่ล้อมรั้วไว้อาจมีพวกชนเร่ร่อนที่มักจะมาพร้อมฝูงแพะฝูงแกะเข้ามาจับจองอาศัย การจะขับไล่ให้รื้อถอนภายหลังจะเป็นเรื่องยาก แต่หากล้อมรั้วไว้การละเมิดสิทธิ์ก็จะไม่เกิด คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เพราะครุ่นคิดตาม
คนอินเดียที่ยากจนเนื้อตัวมอมแมม ไร้การศึกษาหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ดูไม่น่าจะมีคุณธรรมแต่กลับให้เกียรติเคารพในสิทธิผู้อื่นและเกรงกลัวกฎหมาย ไม่เหมือนผู้คนในประเทศสารขันธ์บางประเทศที่ดูดีมีการศึกษามีวัฒนธรรมที่เจริญกว่าแต่กลับหิวกระหายอดโซ สวาปามไม่เลือกแม้ที่สาธารณะป่าเขาที่ของเขาของเรา... ผมเพียงคิดเปรียบเทียบในใจ
วันนั้นเราเสียเวลากับการควานหาโรงแรมอยู่นานสองนานจากห้าโมงเย็นจนถึงสองทุ่ม เนื่องจากคนขับพาไปผิดเส้นทาง ประกอบกับวันนั้นรถติดขนาดหนักในเมืองคานปูร์เดินหน้าได้ทีละคืบ ขบวนทัพมอเตอร์ไซค์เป็นร้อยเป็นพันขวางปิดทางไว้ แม้ตำรวจจราจร 2 นายจะมาคอยโบกรถเพื่อเปิดทางให้แต่ก็มีมอเตอร์ไซค์คันใหม่ดาหน้าเข้ามาแทน หักเบี่ยงหลบกันคืบต่อคืบ เสียงแตรระงมไหวเพื่อขอทางแต่ดูเหมือนกับไม่มีใครได้ยิน เป็นวิกฤติจราจรที่ใกล้จลาจลที่เราเพิ่งพบเห็นครั้งแรก เป็นอย่างนี้อยู่นานนับชั่วโมง รถจึงค่อยๆ ไหลมาถึงโรงแรม Mandaniki กลางเมืองคานปูร์ หลังอาหารเย็นคืนนั้นซึ่งล่วงเลยมาค่อนดึกทุกคนต่างพากันแยกย้ายเข้าห้องพักอย่างอ่อนล้า
อัครา (AGRA)
วันนี้เป็นอีกวันที่ฝันของใครหลายคนจะเป็นจริง เพราะหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการเดินทางมาครั้งนี้ คือ ทัชมาฮาล (Taj Mahal) เช้ามืดวันที่ 27 มีนาคม 2551 เราลงมาทานอาหารเช้าตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง บางคนบางคู่จึงดูคึกคักเป็นพิเศษที่จะได้เห็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ประมาณเที่ยงของวันเดียวกันเรามาถึงเมืองอัครา สมตามความตั้งใจ
ทัชมาฮาล มีประวัติว่าเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมาพระเจ้าชาชาฮัน (Shah Jahan) กษัตริย์ในราชวงศ์โมกุล ทรงสร้างทัชมาฮาลขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระนางมุมตัส มาฮัล (Mumtaz Mahal) พระมเหสีที่เสียชีวิตหลังจากคลอดบุตรคนที่ 14 เพื่อใช้เป็นสุสานสำหรับเก็บพระศพของนาง โดยพระองค์ทรงใช้ความเพียรพยายามในการสร้างนานถึง 22 ปี จึงแล้วเสร็จ ได้สถาปนิกจากทั้งยุโรปและเอเชีย เช่น จากอิตาลี่และอิหร่าน ใช้แรงงานช่างจากทั้งอินเดียและเอเชียกลางรวมประมาณ 20,000 คน ลักษณะอาคารเป็นรูปทรงคล้ายสุเหร่าสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ความวิจิตรบรรจงอยู่ตรงที่การแกะสลักตกแต่งหินอ่อนด้วยการฝังหินอ่อนสีลงไปในเนื้อหินอ่อนสีขาวเกิดเป็นลวดลายความงดงามที่สุดจะหาใดเปรียบปาน
ภายหลังพระเจ้าชาชาฮันถูกโอรสคือ พระเจ้าอรังกะเซฟ (Aurangzeb) ยึดอำนาจและจับพระองค์ไปคุมขังไว้ที่ป้อมแดงหรือป้อมอัครา (Red Fort หรือ Agra Fort) ซึ่งจากป้อมแดงสามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้อย่างชัดเจนตามแนวฝั่งแม่น้ำยมุนา พระองค์ถูกคุมขังอยู่ที่นี่นานถึง 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ลง ทิ้งมรดกที่เป็นตำนานอันล้ำค่าไว้ภายหลัง ซึ่งวันนั้นหลังจากชมทัชมาฮาลเราไปต่อยังป้อมแดง ป้อมปราการที่แข็งแรงแน่นหนาและใหญ่โตราวกับเป็นเมืองเมืองหนึ่งมีทั้งปราสาทราชวังและมัสยิดอยู่ภายใน สาเหตุที่ได้ชื่อว่าป้อมแดงเพราะสร้างจากหินทรายแดง การก่อสร้างเริ่มต้นในสมัยของกษัตริย์อัคบา ในราว ค.ศ. 1565 และมาแล้วเสร็จในสมัยของหลานคือพระเจ้าชาชาฮัน จึงมีการเปรียบเปรยว่าพระเจ้าชาชาฮัลสร้างคุกไว้คุมขังตัวเองเพื่อรับผลกรรมจากการที่มีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมากระหว่างการก่อสร้างทัชมาฮาล
การเข้าชมทัชมาฮาล ไม่ได้สะดวกสบายมากนัก รัฐบาลอินเดียตรวจตราและคุมเข้มวัตถุระเบิดโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (กลัวเข้าไปก่อวินาศกรรมแหล่งทำเงิน) หลังจากผ่านด่านการตรวจตราที่แน่นหนาบริเวณซุ้มประตู เราต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทางหามุมเหมาะเพื่อเก็บภาพเก็บความทรงจำ ทั้งมุมใกล้มุมไกลทุกมุมมองของทัชมาฮาลล้วนมีความงดงามที่แตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์สมกับคำยกย่อง มุมใกล้ได้เห็นความประณีตของการแกะสลักหินที่มีอยู่เกือบทุกตารางนิ้ว มุมไกลได้เห็นความอลังการเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบ ทางเดินโดยรอบบนฐานชั้นบนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งมาเดี่ยวที่เป็นครอบครัวและคู่รัก ฉากด้านหลังของทัชมาฮาลเป็นจุดชมวิวงดงามอีกจุดหนึ่ง เมื่อมองเหนือโค้งน้ำยมุนาขึ้นไปทางทิศตะวันตกก็สามารถมองเห็นป้อมแดงได้ในระยะพอเหมาะพอเจาะ ด้านข้างสองฟากของทัชมาฮาลซ้ายและขวาเป็นเรือนรับแขกและเรือนพักของลูกสาวสร้างจากหินทรายแดงตกแต่งปลียอดด้วยหินอ่อนสีขาวนวลแกะสลักขนาบอยู่เคียงข้าง เสริมส่งกันและกันอย่างลงตัว
ครั้นเมื่อเข้าไปภายในห้องโถงรูปโดม เราก็ยิ่งพบเห็นการแกะสลักตกแต่งหินอ่อนที่งดงามและมีความละเอียดประณีตมากขึ้นอีกหลายเท่า โดยเฉพาะโลงศพหินอ่อนแกะสลักสองโลงที่วางอยู่เคียงคู่กัน หนึ่งเป็นของพระนางมุมตัส อีกหนึ่งเป็นของพระเจ้าชาชาฮัน ไกด์ประจำทัชมาฮาลซึ่งนำชมภายในบอกเราว่าโลงศพนั้นเป็นเพียงการสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์แต่พระศพจริงๆ ถูกฝังอยู่ด้านล่าง และยังเล่าต่ออีกว่าหินอ่อนสีที่นำมาตกแต่งลวดลายภายในนั้นนำมาจากทุกมุมโลก เช่น จีน เบลเยี่ยม อิตาลี่ และอิหร่าน บางแผ่นบางด้านใช้เวลาทำนานนับสิบปี
เวลานัดหมายที่เราตกลงกันไว้ก่อนเข้าชมว่าเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เป้าหมายต่อไปคือป้อมแดงจึงต้องนั่งเกร่อรอกันไปรอกันมาเป็นนานสองนานกว่าจะครบและเคลื่อนขบวนได้ แต่ก็กลายเป็นเรื่องดีเพราะที่นี่หลายคนได้ของฝากติดไม้ติดมือไประหว่างรอ
ปีหนึ่งๆ จะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมทัชมาฮาลและป้อมแดงแห่งเมืองอัครา หลายล้านคน ด้วยความน่าอัศจรรย์ของตัวมันเองที่ไม่ต้องสรรค์สร้างปรุงแต่ง ทัชมาฮาลจึงสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับอินเดียและสร้างเศรษฐกิจให้กับเมืองนี้อย่างประมาณค่าไม่ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา (ค่าเข้าชมทัชมาฮาลสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนละ 20 US. ดอลล่าร์) เมืองอัคราจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด โรงแรมใหญ่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่นี่เราได้พักค้างคืนกันที่โรงแรมระดับห้าดาวของเมือง Holiday Inn ซึ่งเป็นเครือข่ายโรงแรมของอเมริกา มาตรฐานตะวันตกปกติลูกค้าหากเดินเข้ามาหาราคาค่าห้องอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 6,000 บาท/วัน เรื่องที่พักสำหรับการเดินทางในทริบนี้ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายจึงค่อนข้างเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่นในเส้นทางสู่โรงแรมที่พัก ผมนั่งนึกอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินไปและเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจว่า...คุณค่าของทัชมาฮาลอยู่ตรงไหน? บทวิพากษ์ทัชมาฮาลคนวิพากษ์ก็มีเหตุผลของตน เช่น ทัชมาฮาลถูกสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจและตัณหาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เบียดเบียนชีวิตแรงงาน ผลาญทรัพยากรไปเท่าไหร่ เป็นต้น ผมไม่ได้เห็นแย้งแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการวิพากษ์เหล่านั้นทั้งหมด คำตอบที่ได้ในห้วงคิดสั้นๆ วันนั้นกลับเป็นอีกมุม... ทัชมาฮาลมีเรื่องราวความเป็นมา ทัชมาฮาลมีความยิ่งใหญ่ ความสำเร็จเกิดจากความเพียรพยายามที่เหลือเชื่อเหนือธรรมดาของมนุษย์ ทัชมาฮาลยังมีอีกหลายคำตอบที่รอการค้นหาในมุมมองที่ต่างออกไป
นิวเดลฮี (NEW DELHI)
คนไทยนิยมเรียกเมืองหลวงของอินเดียว่า นิวเดลฮี (New Delhi) แต่คนอินเดียนิยมเรียกออกเสียงว่า เดลลี หรือ นิวเดลลี เราลาจากเมืองอัคราหลังอาหารเช้าของวันที่ 28 มีนาคม 2551 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงนิวเดลฮี ระยะทางเพียงประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง การจราจรเริ่มติดขัดบ้างเมื่อใกล้เมืองหลวง มีการจอดแวะตรงด่านเพื่อจ่ายค่าผ่านทางเมื่อข้ามรัฐจากรัฐอุตรประเทศเข้าสู่เขตเมืองหลวง ย่านอุตสาหกรรม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเริ่มหนาตาขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ตึกรามอาคารสูงๆ เริ่มผุดให้เห็นเป็นระยะๆ
นิวเดลฮี เป็นเมืองหลวงใหม่ที่ถูกออกแบบและวางแผนสร้างอย่างสวยงาม มีถนนเชื่อมต่อกันเป็นตารางโดยมีจุดเชื่อมเป็นวงเวียนและน้ำพุ มีต้นไม้หลายชนิดปลูกไว้เพื่อประดับตกแต่งและให้ร่มเงาริมฟุตบาททางเดิน มีการจัดแบ่งศูนย์การค้าและศูนย์ราชการเป็นสัดส่วน
รถราที่แล่นสวนไปมาอยู่บนท้องถนนของนครหลวงหรือทั่วๆ ไปในเส้นทางที่ผ่านมาหากไม่นับรวมรถมอร์เตอร์ไซค์และรถริกชอว์ (Rickshaw) หรือรถตุ๊กตุ๊ก (ริกชอว์ คือรถสามล้อมีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก สำหรับวิ่งโดยสารในระยะทางสั้นๆ) ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นรถยี่ห้อที่เมดอินอินเดีย คือ “TATA” หนึ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งเอเชียของอินเดีย ที่ปัจจุบันข้ามฝั่งไกลไปเทคโอเวอร์สองบริษัทรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกของอังกฤษคือ จาร์กัว และแลนด์โรเวอร์ ไว้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเดือนก่อนผู้ผลิตรถยนต์ TATA ของอินเดียก็เพิ่งเปิดตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคล TATA รุ่นหนึ่งซึ่งใช้พลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกที่สุดในโลก (ประมาณคันละ 60,000-80,000 บาท) แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาตินิยมอย่างหนึ่งซึ่งเชิดหน้าชูตาทำให้กับชาวอินเดียทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจ
แต่ตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเฝ้ามองอยู่สักเท่าไหร่ ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถปิคอัพสายพันธุ์ใหม่ “TATA ซีนอน” ที่กำลังบุกเบิกตลาดเมืองไทยเลยแม้แต่คันเดียว
เรามีเวลาไม่มากนักในนครหลวงนิวเดลฮี เพียงแค่จากบ่ายถึงค่ำ เราเข้าชมบ้านนางอินธิรา คานธี และนายราชีฟ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีแม่ลูกที่ต่างถูกลอบสังหารของอินเดีย รวมทั้งบ้านของมหาตมา คานธี ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน รัฐบาลอินเดียได้อนุรักษ์รักษาไว้อย่างดีเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา
Indian Gate หรือประตูชัยของอินเดีย อนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงทหารกล้าที่พลีชีพเพื่อชาติในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดสุดท้ายที่เราแวะชมในวันนั้น บรรยากาศบริเวณรอบๆ Indian Gate มองไปคล้ายกับสนามหลวง เป็นทั้งลานกิจกรรมของครอบครัว ลานเพื่อพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนทั่วไปทุกชนชั้น การละเล่น พ่อค้าหนุ่มตักน้ำจากหม้อดินเดินเร่ขายเป็นแก้วๆ มีลูกค้าอุดหนุนหนาตาเพราะเป็นบ่ายที่อากาศค่อนข้างอบอ้าว พ่อค้ารับเพ้นท์ฝ่ามือคล้ายรอยสักแต่ลบออกได้ง่ายยืนบริการลูกค้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วชำนิชำนาน เรามาใช้เวลาห้วงสุดท้ายก่อนอาหารเย็นด้วยการไปเทกระจาดเงินรูปีออกจากกระเป๋าในย่านการค้าแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังตลาด Chanpath กลางเมืองนิวเดลฮี ทั้งนี้เพื่อต้องการให้น้ำหนักของกระเป๋าและสัมภาระเบาลงก่อนขึ้นเครื่องเพื่อบินกลับ
เช้ามืดวันที่ 29 มีนาคม 2551 สายการบินแอร์อินเดียเที่ยวบินที่ IC 853 นำเราจากชมพูทวีปดินแดนแห่งพุทธภูมิกลับถึงดินแดนสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ เพียงห้าวันของการท่องเที่ยวไปนับเป็นห้วงเวลาที่แสนสั้นนัก ผิวเผินยิ่งดุจนกบินโฉบผ่าน กับการมาเยือนประเทศที่มีพลเมืองมากเป็นอันดับสองของโลก มีภาษาพูดมากกว่า 200 ภาษา มีพื้นที่กว้างขวางเป็นอนุทวีป เป็นแหล่งอารยะธรรมสำคัญแห่งหนึ่งของโลก แม้เพียงแค่นี้เราก็ได้เรียนรู้ได้ข้อคิดและได้ประสบการณ์มากมาย บางเรื่องน่านำไปขบคิดต่อ บางเรื่องตื้นตัน เหลือเชื่อ น่าขำระคนเห็นใจ ครบทุกรส ราวกับเป็นภาพยนตร์อินเดีย (Masala Movies) นำกลับมาเล่ากันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไม่จบไม่สิ้น
หลากหลายมิติที่ได้พบเห็นจากการมาเยือนดินแดนภารตะครั้งนี้ ส่งผลให้ทัศนะท่าทีและความเข้าใจต่อผู้คนบนผืนแผ่นดินที่มีจารีตขนบธรรมเนียมและโครงสร้างทางสังคมที่สลับซับซ้อนยิ่งแห่งนี้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น หลายมิติจะเป็นความทรงจำดีๆ ที่จารึกตรึงแน่นอยู่ในหัวใจของพวกเราตราบนาน
ขอบคุณ อินเดีย ที่สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้ให้
นมัสการ... !!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)