วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มิติภารตะ

มิติภารตะ

ฉลอง สุขทอง เรื่อง/ภาพ
ต้นฤดูร้อนปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (2551) คณะครูอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์จำนวนหนึ่งนำโดยรองอธิการบดี อาจารย์สุดใจ สะอาดยิ่ง พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัย และท่าน ส.ว. (ผู้อาวุโสสูงวัย) ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จากหลายสาขาอาชีพของจังหวัดสุรินทร์ ทั้งหมด 32 ชีวิต รวมตัวพากันมาทัศนศึกษาและแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม ณ ประเทศอินเดีย ในนามของสำนักศิลปะและวัฒนธรรมที่เป็นต้นเรื่องและเจ้าของโครงการ โดยมีเป้าหมายศึกษาดูงานเยี่ยมชมโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในบริเวณดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ลุ่มแม่น้ำคงคาของอินเดียตอนเหนือ และเพื่อไปกราบนมัสการดินแดนสังเวชนีสถานสำคัญทางพุทธศาสนาบนเส้นทางบุญ เริ่มตั้งแต่เมืองพุทธคยา-พาราณสี-นิวเดลฮี-ทัชมาฮาล (สุสานรักอันเลื่องชื่อหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก) เป็นการทัศนาสรรพเรื่องราวของอนุทวีปแห่งนี้แบบย่นย่อเพียง 5 ทิวา/ราตรี

การเตรียมการเตรียมความพร้อมเป็นไปด้วยความลุ้นระทึกทุกขั้นตอนเฉกเช่นการเดินทางไปต่างประเทศทุกๆ ครั้ง การประชุมวางแผนเดินคู่ขนานไปกับการประสานงาน จำนวนงบประมาณสัมพันธ์กับเส้นทาง พาหนะและจำนวนดาวของโรงแรมที่แวะพัก เมื่อได้กำหนดวันเดินทางเรียบร้อยการประชุมย่อยเพื่อเก็บรายละเอียดงานก็ตามมา หยูกยาเพื่อสุขภาพอนามัย ของใช้ ป้ายผ้า ป้ายชื่อ ฯลฯ แต่สิ่งหนึ่งที่สมาชิกผู้ร่วมเดินทางต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือการค้นคว้าหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอินเดียที่ทุกคนทุกฝ่ายไม่เฉพาะผู้ประสานงานเริ่มทำการบ้านกันตั้งแต่วินาทีแรกของการตัดสินใจร่วมขบวนการ

เปิดมิติ (OPEN SCENCE)
“อินเดีย” หรือ “อินดียา” หาใช่คำดั้งเดิมไม่ แต่เป็นชื่อใหม่ที่เราใช้เรียกประชาชนและชื่อประเทศ ตามประวัติแต่เดิมชาวเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) เรียกผู้คนแถบนี้ว่า “ฮินดุ” หรือ “สินธุ” ตามชื่อแม่น้ำสายสำคัญหนึ่งในสามสายของคาบสมุทรชมพูทวีป อีกสองสายคือ แม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำฮินดู (Indus River) ไหลผ่านตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู มีวัฒนธรรมแบบชาวฮินดู บ้างจึงเรียกกันว่า “ฮินดูสถาน” (หนังสือพิมพ์รายวันยอดนิยมของอินเดียฉบับหนึ่งก็ใช้ชื่อว่า “ฮินดูสถานไทม์” ) แต่ความเห็นของอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย นาย ยวาหรลาล เนรูห์ กลับไม่เห็นด้วยที่จะให้ใครต่อใครเรียกอินเดียในชื่อนี้ ท่านเห็นควรให้เรียกว่า “ฮินดี” เหตุผลก็เพราะอินเดียไม่ได้มีเฉพาะวัฒนธรรมฮินดู แต่อินเดียมีความหลากหลายในทุกด้าน ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า...
“India is geographical and an economic entity, a cultural unity amid diversity, a bundle of contradictions held together by strong but invisible threads.” (อินเดียมีชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และมีเอกภาพทางวัฒนธรรมท่ามกลางความแตกต่าง เป็นที่รวมของความขัดแย้งซึ่งยึดเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความผูกพันอันแข็งแกร่งแต่มองไม่เห็น)
อาจมองได้ว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเหตุผลทางด้านการเมืองที่ไม่ต้องการเห็นการแตกแยก แบ่งกลุ่ม เพราะอินเดียมีศาสนา ภาษา เชื้อสายของผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลายเป็นหนึ่งในแอ่งอารยะธรรมของโลก เพียงแต่มีวัฒนธรรมฮินดูเป็นวัฒนธรรมหลัก ความเห็นของเนรูห์ได้รับการตอบรับจากสังคมโลก ปัจจุบันโลกจึงเรียกขานประเทศและประชาชนบนคาบสมุทรแห่งเอเชียใต้กันทั่วไปว่า “ฮินดี” หรือ “อินเดีย”
ยังมีอีกคำหนึ่งซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่งนิยมใช้เรียกคนอินเดียและประเทศอินเดียด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่กว้างขวางมากนัก คือคำว่า “ภารตะ” ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “ภรต” จากมหากาพย์ชื่อดังของอินเดียเรื่อง “มหาภารตะ” หรือ “รามเกียรติ์” ที่คนไทยรู้จักดีนั่นเอง เปิดมิติผมจึงขอเลือกเอาชื่อนี้ที่ยังไม่แพร่หลายมากนักมาสื่อสารถึงคนกันเองเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพสังคมและวิธีคิดของผู้คนในประเทศอู่อารยะธรรมสำคัญของซีกโลกตะวันออกเช่นอินเดีย ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดหรือรากเหง้าของวัฒนธรรมไทย ในมุมมองของเกล้ากระผม

พุทธคยา (BUDHGAYA)
เช้ามืดประมาณตีห้าของวันที่ 24 มีนาคม 2551 ผมและคณะเพื่อนร่วมทางทั้งหมดมาพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ซึ่งอันดับหนึ่งกับสองก็อยู่ในทวีปเอเชียเช่นกัน ข้อมูลการจัดอันดับเรทติ้งความยิ่งใหญ่ของสนามบินผมได้ยินจากผู้รู้เพื่อนร่วมทางของเราคนหนึ่งซึ่งเล่าบอกแก่สมาชิกบนรถบัสปรับอากาศสายสุรินทร์-โคราช พาหนะที่รับส่งคณะเราทั้งไปและกลับสำหรับการเดินทางครั้งนี้ เมื่อสองสามนาทีก่อนหน้าที่รถบัสจะเข้าจอดเทียบท่าชานชลาช่อง 9 ของอาคารผู้โดยสารขาออก
สายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ IC 730 พาหนะขนาดกลางนำพาทั้ง 32 ชีวิต พร้อมกับนักเดินทางแสวงบุญอีกคณะหนึ่งประมาณเท่าๆ กัน รวมแล้วทั้งผู้โดยสารและคณะนักบินบนเครื่องในวันนั้นไม่น่าจะเกิน 100 ชีวิต รวมไม่ถึงครึ่งของขนาดความจุของเครื่งเราจึงเลือกนั่งกันตามสบาย โดยมีจุดหมายปลายทางที่อยู่ห่างออกไปราว 4,000 กิโลเมตร ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนแห่งพุทธภูมิ เมืองพุทธคยา เราใช้เวลาบินข้ามเมียนมาร์และอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดียด้วยเวลาเพียง สามชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินเมืองพุทธคยา ตรงกับเวลาท้องถิ่นที่นั่น 10.30 น. (เวลาอินเดียช้ากว่าไทยหนึ่งชั่วโมงครึ่ง) ก่อนที่เจ้านกยักษ์จะร่อนลงแตะพื้นรันเวย์ผมสังเกตเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่หลายสายในรัศมีสายตาอยู่สภาพแห้งขอดราวกับเป็นลำธารของท้องทราย เหมือนส่งสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าฤดูร้อนกำลังนำความแห้งแล้งมาเยือนอินเดีย ไกด์นำทาง (พระครูดวง) ท่านเล่าบอกแก่เราว่าหากเป็น 2-3 เดือนก่อนหน้านี้เที่ยวบินนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสาร เพราะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวแสวงบุญของที่นี่ โชคดีนักท่องเที่ยวอาจมีโอกาสได้เห็นจริยวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ธิเบตจากเมืองธรรมศาลา (Dharamsala) ทางตอนเหนือของอินเดียนับร้อยๆ รูปลงมาปฏิบัติธรรมกันที่พุทธคยาระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ในบางปี “องค์ดาไลลามะ” ผู้นำพลัดถิ่นและผู้นำจิตวิญญาณของชาวธิเบตก็มักจะมาใช้เวลาในเดือนธันวาคมที่นี่ด้วยเช่นกัน
เมืองพุทธคยาหรือ คยา (Gaya) อยู่ห่างจาก ปัทนะ (Patna) เมืองหลวงของแคว้นพิหารหรือรัฐพิหารลงมาทางใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร ไกด์ท้องถิ่น “Kermlesh” และ “Deepak” เล่าบอกผมว่า รัฐนี้มีสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวคือที่นี่ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญชาวพุทธหลั่งไหลกันมาปีละนับล้านๆ คน เพื่อมาปฏิบัติธรรมเคารพกราบไหว้สถูปหรือวิหารมหาบดี (Mahabodhi Temple) รัฐพิหาร (Bihar) เป็นหนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของอินเดีย ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมน้อยมากไม่เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ที่หมุนตามวัฒนธรรมกระแสหลักของโลก วันนั้นเราไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยทันทีที่เก็บข้าวของสัมภาระขึ้นรถบัสเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางจากสนามบินมุ่งตรงไปกราบนมัสการสถูปมหาบดี สถานที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ องค์สถูปมีความสูงราว 30 เมตร มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นอิงแอบอยู่เป็นสัญลักษณ์ เรารวมตัวกันถ่ายรูปหมู่และทำสมาธิสวดมนต์กันใต้ต้นโพธิ์ใหญ่อยู่นานสองนาน สมาชิกบางกลุ่มแยกย้ายกระจายกันสำรวจบริเวณ บ้างก้มเก็บใบโพธิ์ที่หล่นพื้นเพื่อเป็นของฝากทรงคุณค่าแก่ญาติมิตรได้คนละหลายๆ ใบ เพราะเป็นช่วงโพธิ์ผลัดเปลี่ยนใบ บางคนไปนั่งรอรับจากมือพระสงฆ์ไทยที่บรรจงเขียนรูปพระพุทธรูปลงบนใบโพธิ์ด้วยปากกาเมจิกอย่างประณีตบรรจงและชำนิชำนาญ แลกกับการทำบุญถวายท่าน 10 รูปี 20 รูปี ตามแต่ศรัทธาเพราะท่านไม่ได้ร้องขอ ทราบภายหลังว่าอาจารย์ท่านก็เพิ่งเดินทางมาจากเมืองไทยเพื่อมาปฏิบัติธรรมและกราบนมัสการสังเวชนียสถานเช่นเดียวกัน ยามว่างจากการนั่งทำสมาธิบริเวณใต้ต้นโพธิ์ท่านก็หยิบใบโพธิ์ที่หล่นตรงหน้าขึ้นมาขีดเขียนเล่นๆ เป็นพระพุทธรูปญาติโยมมาเห็นเข้าก็มาขอทำบุญแบ่งเอาไป ด้วยฝีมือของท่านบวกกับความศรัทธาในสถานที่มุมนี้จึงกลายเป็นมุมไทยมุงย่อยๆ ในบางขณะ
ด้านหน้ารอบนอกตรงปากทางเข้าบริเวณองค์สถูปดารดาษไปด้วยร้านค้าและธุรกิจสารพัดชนิดที่ล้วนหวังเรียกและรีดเงินจากนักท่องเที่ยวนักแสวงบุญผู้ผ่านมา อาทิ ตรงปากทางเข้าด้านหน้ามีร้านขายดอกไม้พวงมาลัยเพื่อการทำบุญวางอยู่เรียงราย ถัดมาเป็นร้านขายพระพุธรูป ประคำ เทป ซีดี ธรรมะ ที่เห็นแปลกตาคือมุ้งกันยุงทรงตั้งรูปลักษณ์คล้ายคนนั่ง ออกแบบมาสำหรับผู้ที่นั่งสมาธิเป็นไอเดียที่เก๋ไก๋ด์ไม่เหมือนใครและเฉพาะตัวยิ่ง ถัดออกมาไกลหน่อยเป็นร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ ของฝาก เกสต์เฮ้าส์ ห้องพัก รวมไปถึงเด็กขอทานที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดเส้นทาง ซึ่งทุกธุรกิจพ่อค้าแขกได้โชว์ให้เห็นถึงเทคนิคและศิลปะการขายชั้นเซียน ด้วยการตื๊อ ตื๊อ และก็ตื๊อ จนเราอายไม่กล้าปฏิเสธ
เพื่อนคนหนึ่งมาฟ้องว่า... “ฉันซื้อซีดีธรรมมะมาแล้ว 1 แผ่น จากราคาขายทีแรกบอก 120 รูปี ฉันต่อรองได้ราคา 50 รูปี สุดแสนจะดีใจ แต่แขกขายคนเดิมไม่ยอมไปไหนยังตามตื๊อจะขอขายให้ฉันอีกในราคาใหม่ 4 แผ่น 100 อ้างว่าเพื่อสมนาคุณ เธอเรียนการตลาดมา ช่วยบอกฉันทีนี่มันอะไร
กัน..ฉันถูกหลอกหรือเปล่า?”
ผมฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า (กิริยาอาการส่ายหน้าของ
คนอินเดียแปลความหมายได้ว่าใช่หรือเห็นด้วย)
เรากลับมาทานเที่ยงและเข้าพัก ณ โรงแรมโตเกียว (Tokyo Hotel) ในคืนแรกของการเดินทาง ผมเข้าใจเองว่าเจ้าของโรงแรมคงไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นแต่ที่ใช้ชื่อนี้เพราะโรงแรมตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้าวัดญี่ปุ่น โปรแกรมที่ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองพุทธคยาคือการได้ทัวร์ชมวัดนานาชาติ โดยรัฐบาลอินเดียได้จัดสรรพื้นที่ชั้นในของเมืองไว้ให้ประเทศที่มีพลเมืองนับถือพุทธศาสนาได้มาสร้างวัดในแบบฉบับที่เป็นของตนเองไว้ ที่นี่จึงมีทั้ง วัดไทย ญี่ปุ่น พม่า จีน ทิเบต เนปาล ภูฏาน บ่ายวันนั้นเราจึงเพลิดเพลินกับการเดินชมศิลปะความงามของวัดนานาชาติ ดูความประณีตของศิลปกรรมการก่อสร้างอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชาติพร้อมๆ ไปกับการเที่ยวดูวิถีชีวิตของผู้คนชาวเมืองพุทธคยา ซึ่งเราสัมผัสได้กับม่านแห่งความยากจนที่แผ่ปกคลุมอยู่ทั่วไป ยากที่จะหาความเป็นระบบระเบียบใดได้ แต่กิจกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างก็สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจฉงนสนเท่ห์แก่หมู่คณะเราได้หลายอย่างในเส้นทางชมเมือง อาทิ เราได้พบเห็นการปั้นก้อนขี้วัวเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิงหุงหาอาหาร โดยนำขี้วัวเปียกมาคลุกเคล้าผสมกับแกลบปั้นตากเป็นก้อนแบนๆ แปะไว้กับฝาบ้านและพื้นดินเป็นแถวแนวอย่างเป็นระเบียบ ที่ตากแห้งแล้วก็เรียงเก็บไว้เป็นกองๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างสำหรับไว้ใช้เองและไว้ขาย ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในชุมชนแห่งนี้ ภายหลังเราพบว่าตลอดเส้นทางของการเดินทางในทริบนี้ตั้งแต่เมืองพุทธคยาจนถึงนิวเดลฮี กิจกรรมเช่นว่านี้มีให้เห็นอยู่ตลอด
“หรืออาหารที่เรารับประทานกันก็ผ่านการปรุงด้วยเชื้อเพลิงก้อนขี้วัวตากแห้งนี้ด้วย?” ใครคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ ระหว่างเดินทางกลับที่พัก
“…………” เงียบ ไร้เสียงตอบ
เรื่องเชื้อเพลิงขี้วัวตากแห้งได้กลายเป็นประเด็นหลักของหัวข้อการสนทนาในวันต่อๆ มาบนรถ ด้วยวิธีการ focus group แบบเข้มข้น บางคนที่ลุ่มลึกมีการเปรียบเทียบในทุกมิติ ทั้งด้านส่วนผสม ขนาดและรูปทรงของการปั้นก้อนว่ามัน เล็ก ใหญ่ ทรงกลม ทรงเหลี่ยม หรือ รี
สำหรับที่นี่แล้วนักท่องเที่ยวไทยเป็นกลุ่มที่มีเสน่ห์มากที่สุด ได้รับความนิยมชมชอบจากเหล่าพ่อค้า ขอทานและแขกมุงเป็นอย่างยิ่ง เดินไปทางไหนมีแต่แขกห้อมล้อม เพราะคนไทยใจบุญสุนทานและมีนิสัยชอบซื้อ ซื้อทุกโอกาส ซื้อได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า “ขึ้นรถเป็นหลับ ขยับเป็นซื้อ” สามารถบ่งบอกคุณลักษณะของนักท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดีและดูเหมือนว่ากลุ่มแขกมุงก็รู้จักนิสัยในข้อนี้ของคนไทยดีมากเช่นเดียวกัน ส่วนขอทานก็รู้ว่าคนไทยใจดีชอบบริจาคทาน การเคลื่อนขบวนของเราจากจุดต่อจุดจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าเพราะกว่าจะแหวกม่านมลภาวะแขกมุงมาขึ้นรถได้ครบทุกคนต้องใช้เวลาและลุ้นระทึก คนแล้วคนเล่า การอวดโชว์และเปรียบเทียบว่าใครซื้อของได้ถูกแพงกว่ากันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การบริหารเวลาให้เป็นไปตามโปรแกรมที่วางไว้ทำได้ยาก เพราะศักดิ์ศรีเรื่องซื้อของได้แพงกว่ายอมกันไม่ได้แต่กระเป๋าฉีกไปเท่าไรเราไม่คำนึงถึง หนักเข้าเมื่อถึงจุดแวะชมบางจุดบางคนจึงตัดปัญหาเพียงนั่งรออยู่บนรถไม่ยอมลงไปชม ถ่ายรูปก็เพียงใช้กล้องซูมถ่ายเอาในระยะไกลแทน
โพล้เพล้ใกล้พลบค่ำในวันนั้นเราได้ไปเยี่ยมชมบ้านนางสุชาดา ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราด้านทิศตะวันออก มีสะพานคอนกรีตทอดข้ามไประยะทางยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร สภาพแม่น้ำที่เห็นมีแต่ท้องทรายขาวโพลนหามีน้ำไม่ ไกด์บอกเราว่าในฤดูฝนจะมีน้ำหลากเอ่อล้นฝั่งและจะแห้งเหือดหายไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่อปลายฝนเช่นเดียวกับแม่น้ำสายสั้นๆ ทั่วไปในรัฐพิหาร จินตนาการของผมจึงเจอทางตันบันเจิดต่อไม่ได้ว่า เมื่อครั้งที่นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาสแก่องค์พระศาสดาแล้ว ขณะนำถาดมาล้างทำความสะอาดริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานางได้อธิษฐานในใจว่า “หากพระศาสดาผู้นี้สามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในวันใดวันหนึ่งภายภาคหน้า ก็ขอให้ถาดภาชนะใส่อาหารนี้ลอยทวนน้ำขึ้นไปด้วยเถิด...” ปรากฏว่าคำอธิษฐานของนางเป็นจริง ถาดใส่อาหารลอยทวนน้ำขึ้นไปทางเหนือ แต่ในวันนี้เนรัญชรามีเพียงท้องทรายไม่มีน้ำแม้เพียงหยดหรือสายน้ำนี้จะชราเหมือนชื่อ ท่าน้ำตรงจุดที่นางสุชาดานั่งอธิษฐานยังมีต้นโพธิ์ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ให้เห็น ส่วนบ้านนางสุชาดาอยู่ห่างจากท่าน้ำเข้าไปไม่ไกลนัก สภาพปัจจุบันที่เห็นบ้านนางสุชาดาเป็นสถูปก่อสร้างขึ้นมาภายหลังด้วยอิฐแดงฐานกว้างมีความสูงในราว 5 -7 เมตร ห้อมล้อมด้วยย่านชุมชนเกษตรปลูกข้าวสาลีและฟาร์มเลี้ยงสัตว์โดยรอบ
คนเลี้ยงวัวเดินเทินหญ้าฟ่อนใหญ่ไว้เหนือศีรษะเคลื่อนเข้าใกล้มาทุกทีๆ ทันทีที่แลเห็นคณะของเราเขารีบทิ้งฟ่อนหญ้าวัวแล้วเกร่เข้ามาผสมโรงกับเด็กขอทานและแขกมุงที่ยืนออรออยู่ก่อนแล้ว ปากเปล่งเสียงร้องเรียกเป็นคำไทยว่า “อาจารย์ อาจารย์ ...” พร้อมแสดงปฏิกิริยาห่อมือยื่นไปจ่อที่ปากตัวเองเพื่อขอเงินค่าอาหารด้วยทีท่าอาการที่คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติยิ่งราวกับอยู่ในสายเลือด
ผมรีบกระโดดขึ้นมานั่งบนรถในทันทีที่รถบัสเคลื่อนมารอรับ นั่งมองดูความชุนละมุนวุ่นวายบริเวณ ประตูทางขึ้นรถบัสที่บัดนี้ตะลบอบอวลไปด้วยฝุ่นและเริ่มขุ่นด้วยอารมณ์
เราข้ามกลับมาทำวัดสวดมนต์เย็นที่เจดีย์มหาบดีอีกครั้งเมื่อแสงแห่งวันหมดไป อากาศเริ่มเย็นลงบ้าง ไฟแสงสีจากหลอดนีออนอาบทาองค์สถูปจากฐานไปถึงยอดให้ภาพที่งดงามจับใจยิ่ง เสียงสวดมนต์ทำนองพุทธนิกายมหายานจากเครื่องขยายเสียง “บุดดัง สะระนัง คัจฉามิ... ดัมมัง สะระนัง...” ดังก้องกังวานไปทั่วทิศให้ความรู้สึกขลังและศักดิ์สิทธิ์ บริเวณรอบๆ องค์สถูปยังคงเนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนพระสงฆ์และเหล่าบรรดาสาวกที่ยิ่งจะดูหนาตากว่าตอนกลางวัน ในมุมหนึ่งตรงด้านหน้าพระมหาเจดีย์ผมนั่งดูผู้คนเดินจงกรมเวียนเทียนผ่านไปมาจนตาหลับพริ้มพร่ามัว ในดวงจิตเลื่อนลอยไกลคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหาเป็นสมาธิไม่ กระทั่งมีใครบางคนมาสะกิดที่แขน ภาพตรงหน้าที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเป็นภิกษุหนุ่มในพุทธศาสนาแต่ลักษณะการครองจีวรแปลกไม่คุ้นตา หน้าตาละม้ายคล้ายไปทางอินเดีย ครั้นเมื่อได้พูดคุยจึงรู้ว่าท่านเป็นพระนักศึกษามาจากเมืองจิตตะกอง เมือท่าทางตอนใต้ของประเทศบังคลาเทศ ค่อนไปทางชายแดนประเทศพม่าหรือเมียนม่าร์ เราแลกเปลี่ยนทัศนะกันตามประสาของมิตรหน้าใหม่ แต่ก่อนจะแยกย้ายท่านทิ้งท้ายท่อนฮุกว่า...
“โยม อาตมาขออนุโมทนาเงินค่าเล่าเรียนในอินเดีย 100 รูปี เพราะอาตมาไม่มีรายได้ไม่มีพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียวที่นี่” ประสบการณ์การขอหลายรูปแบบที่พบเจอในวันนี้ทำให้ผมเข้าใจได้ในทันที
“อีกแล้ว Beggar !!!” ผมร้องในใจ ก่อนควักหยิบเงินรูปีให้อย่างไม่มีทางเลือก
ค่ำวันนั้นผมเดินตามหมู่คณะออกมาจากองค์สถูปมหาบดีแห่งเมืองพุทธคยาเกือบเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำเล็กๆ ในใจแข่งกับเสียงบทสวด

พาราณสี (VARANASI)
เป้าหมายการเดินทางของเราวันนี้อยู่ที่เมือง พาราณสี (Varanasi) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง นั่นคือข้อมูลที่ทุกคนรับทราบพร้อมกันบนโต๊ะอาหารเช้า จากนั้นในราวเจ็ดโมงครึ่งเราจึงต่างพร้อมออกเดินทาง การปรับตัวเพื่อตื่นให้ทันเวลานัดหมายมีปัญหาบ้างสำหรับบางคนทั้งนี้เพราะเป็นการเดินทางคืนแรกร่างกายต้องการเวลาเพื่อการปรับตัว เรื่องอาหารสามมื้อมี่ผ่านมาทุกคนก็ไม่มีปัญหา อาหารที่เสิร์ฟมีข้าว มีแกงไก่ ไข่ต้ม ไข่เจียว ซุป มีอาหารอินเดียให้ได้ลองลิ้มชิมรสด้วย ได้แก่ จาปาตี ปุรี หรือ นัน และดาล ให้เราเลือกอร่อย แต่ในกระเป๋าทุกใบของพวกเราก็มีทั้งน้ำพริก น้ำปลา มาม่า ไวไว ตุนมาไว้มากมายเหมือนกัน บนโต๊ะอาหารในมื้อหลังๆ หลังจากที่ให้อาหารอินเดียเป็นพระเอกฉายเดี่ยวมา 3-4 มื้อ ก็เริ่มมีน้ำพริกน้ำปลามาปะปนกลายเป็นเมนูลูกผสม เช่น จาปาตีจิ้มแจ่ว รสชาติที่เราสรรค์สร้างกันขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับลูกผสมไทย-อินเดีย
จากพุทธคยา เรามุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2 ไปยังนครโบราณที่มีอายุเก่าแก่ราว 3000 ปี ระยะห่างตามป้ายบอกทางระบุเพียง 200 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง ผมคิดตั้งข้อสังเกตในใจ แต่ความสงสัยเริ่มหายไปเมื่อเราออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง เส้นทางสี่เลนส์ของทางหลวงสายหลักหมายเลข 2 ซึ่งเชื่อมสองเมืองใหญ่ Kolkata หรือ กัลกัตตา ที่คนไทยรู้จัก กับนิวเดลฮี เมืองหลวง ลากตัดผ่านท้องทุ่งที่ราบส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศและผ่านเมืองสำคัญๆ อีกหลายเมือง แต่ถนนหนทางกลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายบางช่วงกำลังก่อสร้างรถต้องข้ามเลนส์ไปวิ่งอีกด้าน มีอุบัติเหตุระหว่างทางเกิดขึ้นหลายจุด รถบัสเราสามารถทำความเร็วได้เฉลี่ยเพียง 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราจึงเดินทางกันอย่างหวานเย็นช้าๆ เนิบๆ แต่ก็เพลิดเพลินกับวิวทุ่งข้าวสาลีสองข้างทางที่กำลังออกรวงอร่ามสลับกับชุมชนและเมือง สนุกสนานได้ความรู้กับเรื่องราวที่สมาชิกแต่ละคนหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเล่าตามประสบการณ์ ด้วยอารมณ์และเหตุผลในมุมมองของตนเอง นั่นเป็นวิธีร่นระยะทางไกลๆ ให้ใกล้ขึ้นของพวกเรา
ยามเช้าเมื่อเราแล่นผ่านชุมชนคำบอกเล่าหรือเรื่องราวที่เคยรับรู้มาเกี่ยวกับการขับถ่ายริมทางของคนอินเดียก็ทำให้หลายคนตื่นเต้นเริ่มส่ายตามองหาเพื่อพิสูจน์ความจริงเมื่อเห็นก็ชี้ชวนกันดู เนื่องจากเป็นยามเช้าการขับถ่ายจึงเป็นเรื่องปกติ มีให้เห็นอยู่ดาษดื่น ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทำกิจวัตรปลดทุกข์ตนไปโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อสายตาอาคันตุกะอย่างพวกเราแต่ประการใด เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นไฮไลท์ของการสนทนาบนรถในห้วงนั้น ซึ่งกินเวลาเนิ่นนานจนแทบจะหาบทสรุปไม่ได้
ความเห็นที่ 1 “ท่าน ถามหน่อยเถอะเขาไม่อายบ้างหรือไง นั่งประจันหน้ากันอย่างนั้น?”
ความเห็นที่ 2 “อุจจาระ (ขี้) คนแขกคงไม่เหม็นนะ เพราะส่วนใหญ่เขาทานมังสะวิรัติ?”
ความเห็นที่ 3 “ไม่นะ ไม่ทันได้ส่งกลิ่นหรือย่อยสลายหรอก เห็นไหมหมูกระโดนทำหน้าที่เทศบาลมาจัดการเก็บกวาดแล้ว”
ความเห็นที่ 4 “ทำไมไม่ค่อยเห็นมีผู้หญิง มานั่งถ่ายอย่างนี้บ้างเลย?”
ความเห็นที่ 5 “มี แต่เขาใช้ส่าหรีคลุมหมดมิดชิด โน่นไงเห็นไหมนั่งอยู่ไกลๆ”
ความเห็นที่ 6 “…….???”
การสนทนาคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงไกด์ร้องบอกให้ทุกคนเข้าห้องน้ำเพื่อปล่อยหนักปล่อยเบาเมื่อรถบัสจอดแอบได้ที่เหมาะๆ ข้างทาง สภาพห้องน้ำของเราในวันแรกของการเดินทางไกลไม่ได้แตกต่างจากชุมชนริมทางของอินเดียที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่แต่อย่างใด ห้องน้ำเป็นพุ่มไม้สลับทุ่งข้าวสาลี จอดครั้งแรกบางคนยังอิดออดอดกลั้นไว้อยู่ครั้นพอเนิ่นนานผ่านไปจอดสองจอดสาม ความจำเป็นบีบบังคับให้เกิดการทดลองเรียนรู้ ผู้หญิงมีผ้าถุงไว้ห่มคลุม ผู้ชายมีพุ่มไม้ไว้กำบัง ต่างคนต่างเลือกที่ที่เหมาะกับสภาพของตนเองเพื่อปลดปล่อย จอดทุกครั้งในการเดินทางวันหลังๆ กิจกรรมที่ว่าดำเนินไหลลื่นไปราวกับเป็นปกติ (อาจกล้าแม้ปล่อยหนักหากจำเป็น)
“นับเป็นการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมและเข้าถึงจิตวิญญาณอินเดียโดยแท้” ใครบางคนกล่าวสรุปปิดประเด็นความเห็น
การเดินทางไกลในอินเดียโดยรถยนต์บนถนนหลวงหาได้สะดวกสบายเหมือนการเดินทางในบ้านเราไม่ นานๆ ครั้งเราจึงจะเจอปั๊มน้ำมัน สภาพปั๊มน้ำมันหลายแห่งก็ไม่ได้มีห้องน้ำไว้บริการลูกค้าแม้กระทั่งใกล้เมืองใหญ่ เข้าใจว่าผู้ประกอบการเขาคงไม่ให้ความสำคัญ น้ำมันเติมได้แต่ขับถ่ายต้องช่วยตัวเอง เราจึงต้องแวะเก็บดอกไม้และยิงกระต่ายระหว่างทางเรื่อยไป
ฉะนั้นกลยุทธ์ที่เป็นจุดขายของปั๊มน้ำมันในบ้านเราที่ขึ้นป้ายใหญ่ๆ ว่า “ห้องน้ำสะอาด” เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ สำหรับที่นี่แล้วคงไม่ได้ผล
เล่ากันว่า (แต่ไม่มีการยืนยันแหล่งข่าวว่าจริงเท็จอย่างไร) การขับถ่ายไม่เป็นที่เป็นทางของคนอินเดียเกิดขึ้นในยุคสมัยท่านมหาตมา คานธี อดีตผู้นำที่ได้รับการยอมรับสูงสุดและเปรียบเป็นพ่อแห่งชาติของคนอินเดียทั้งมวลในเวลาต่อมา เวลานั้นท่านได้พาพลเมืองอินเดียต่อต้านอังกฤษด้วยหลักอหิงสา โดยงัดเอากลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อต้องการให้อังกฤษปลดปล่อยอินเดียด้วยวิธีการสันติวิธีไม่มีความรุนแรง หนึ่งในนั้นคือการถ่มน้ำหมากน้ำลายและการขับถ่ายในที่สาธารณะ เนื่องจากอังกฤษเป็นพวกผู้ดีตีนแดงคงทนไม่ได้กับความสกปรกไร้ระเบียบ ซึ่งท้ายที่สุดคานธีก็สามารถปลดปล่อยอินเดียได้สำเร็จ แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามาตรการไหนมีผลกดดันต่ออังกฤษมากที่สุด
แต่วิธีการเช่นว่านี้คงใช้ไม่ได้ผลกับคนที่ขับถ่ายอย่างมีระเบียบเป็นที่เป็นทางแต่มีนิสัยชอบกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะคนจำพวกนี้หาประโยชน์ใดไม่ได้เลยหากยึดตามหลักอหิงสา (ฮา!)
ทางหลวงหมายเลข 2 มุ่งเข้าสู่เมืองพาราณสีทางด้านทิศใต้ ก่อนถึงเมืองเราได้ข้ามผ่านสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำคงคา สายน้ำแห่งความเชื่อและความศรัทธาของชนชาวฮินดู ปริมาณน้ำในแม่น้ำคงคาเวลานี้มีประมาณหนึ่งในสามส่วน ต่างจากแม่น้ำอีกหลายสายในเส้นทางที่ผ่านมาซึ่งมีแต่ทราย ประมาณเที่ยงเราจึงสามารถฝ่าความจอแจของผู้คนวัวควายที่มากมายขวักไขว่ สภาพการจราจรแออัดบริเวณชานเมืองและตัวเมืองมาถึงบริเวณชั้นในได้สำเร็จ มองเห็นโรงแรม “Ideal Tower” ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า โดยพกพาดีกรีระดับสี่ดาวรอรับการมาเยือนของพวกเรา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของโรงแรมบอกผมว่า ราคาห้องเตียงคู่ในยามปกติที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวอยู่ที่วันละ 4,500 รูปี ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเบาบางลงทันทีที่เข้าสู่ที่รโหฐานและเป็นส่วนตัวเฉพาะหมู่คณะ
บ่ายวันนั้นเราเดินทางไปชมสถานพิพิธภัณฑ์เมืองสารนารถ อยู่ห่างจากโรงแรมในราว 12 กิโลเมตร ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาพระพุทธรูปปางแสดงธรรมศิลปะแบบสารนารถไว้จำนวนมาก ลักษณะทางพุทธศิลป์งดงามอ่อนช้อย แต่น่าเสียดายที่เกือบทุกองค์มีร่องรอยของการทำลาย มีตำหนิ จมูกหัก แขนขาหัก เป็นการจงใจทำลายให้เสียลักษณะ หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ในศตวรรษที่ 11 กลุ่มมุสลิมได้เข้ารุกรานเมืองพาราณสี นำโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุลพระเจ้า Aurangzeb ได้เข้าทำลายเมือง ศาสนสถานและรูปเคารพทั้งของพุทธและฮินดูหลายแห่ง วัดฮินดูหลายแห่งถูกเปลี่ยนไปเป็นสุเหร่าแทน
จากนั้นเราไปต่อยังสถูป สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จตามไปพบกับปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 หลังจากทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และธรรมเมกสถูป สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตรซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันเพื่อทรงโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ ที่นี่เราได้พบกับนักแสวงบุญชาวไทยหลายคณะ ส่วนใหญ่นำทีมธรรมะทัศนาจรโดยพระสงฆ์ทั้งจากเมืองไทยและจากวัดไทยในอินเดีย กิจกรรมระหว่างมาแสวงบุญ ได้แก่ การนั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม ตามมุมตามบริเวณต่างๆ รายรอบองค์สถูป พระอาจารย์ดวงไกด์ผู้นำทีมก็พาพวกเรานั่งสวดมนต์ภาวะนาทำทักษิณาวัตรด้วยเช่นกัน บริเวณใต้ต้นสะเดาอินเดียโดยมีองค์ธรรม เมกสถูปอยู่เบื้องหน้า
ในเส้นทางขากลับโรงแรมเราแวะชมโรงงานทอผ้าไหมเลื่องชื่อของเมืองพาราณสีเพื่อซื้อหาของฝากของที่ระลึก ซึ่งแรงงานทอผ้าที่นี่เป็นผู้ชายล้วนทำงานด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่ว ผมลองเปรียบเทียบราคาขายกับผ้าไหมไทยพบว่าที่นี่ราคาสูงกว่าเป็นเท่าตัว และถึงแม้ว่าเราจะมาจากดินแดนแห่งสุดยอดผ้าไหมไทย วันนั้นพนักงานขายชาย 2 คนของร้านก็ได้ทำหน้าที่จนมือเป็นระวิงจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนรถออก
บนโต๊ะอาหารของโรงแรมค่ำนั้นกลุ่มที่อ้อยอิ่งรั้งท้ายคือ ก๊วนหนุ่มใหญ่ไกลบ้าน ที่แยกตัวออกมาสนทนาปัญหาบ้านเมืองตามประสา การพูดคุยเริ่มยืดเยื้อและคึกคักออกรสชาติเป็นพิเศษเพราะดีกรีของ “King Fisher” และ “Royal Challenge” เบียร์ดีกรีพอเหมาะราคาพอดี 150 รูปี/ขวด ขวดแล้วขวดเล่าต่อเนื่องถูกสั่งมาเป็นระยะไม่ขาดตอนนัยว่าเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าจากการเดินทาง กระทั่งใครคนหนึ่งเปิดประเด็นเรื่องการนวดเพื่อคลายเส้นขึ้นมา เพราะอินเดียก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องนี้ ทุกเสียงร้องขานรับพร้อมเพรียง ผมในฐานะผู้ประสานงานจึงต้องทำหน้าที่หาข้อมูลเรียกพนักงานมาตอบข้อซักถาม และเป็นจริงดังคาดวงสนทนาที่กำลังได้ที่สลายตัวเร็วกว่ากำหนด เพราะคำตอบที่ทุกคนใจจดใจจ่อรอฟังได้ความว่า...
“ชายนวดชาย หญิงนวดหญิง ห้ามสลับเพศโดยเด็ดขาด!” เป็นคำตอบสุดท้าย ไม่มีใครกล้าคิดอะไรต่อ อาการเมื่อยขบมลายหายเป็นปลิดทิ้ง!
ตี 5 วันต่อมา ทุกคนมาพร้อมกันที่หน้าโรงแรมเพื่อโปรแกรมสำคัญคือ ล่องเรือชมแม่น้ำคงคา จัดเป็นไฮไลท์หนึ่งของการมาทัศนศึกษาในครั้งนี้ เรามาถึงริมฝั่งแม่น้ำคงคาขณะที่มองยังไม่เห็นเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของฝั่งคงคาที่เรียกกันว่า “ฝั่งนรก” ทั้งนี้เพราะไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ หากจะเปรียบเทียบให้เกินไปก็คือไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ระหว่างทางเดินเพื่อมายังท่าน้ำร้านรวงยังคงปิดเงียบสนิท ขอทานและนักบวชนอนเรียงรายอยู่บนฟุตบาททางเท้าสลับกับพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่เร่ขายดอกไม้สดแก่นักแสวงบุญ
เนื่องจากท่าน้ำคงคาบริเวณเมืองพาราณสีผูกโยงอยู่กับความเชื่อความศรัทธาของฮินดูชนมานานนับพันๆ ปี รัฐบาลอินเดียจึงไม่อนุญาตให้ใช้เรือที่มีเครื่องยนต์หรือแม้แต่เรือหางยาว คณะเรา 32 ชีวิต จึงแออัดกันลงไปในเรือแจวลำใหญ่ รุ่งสางเราค่อยๆ ล่องทวนน้ำขึ้นไปชมโบสถ์วิหาร ชมท่าอาบน้ำที่มีนักแสวงบุญลงมาดำผุดดำว่าย บางรายกำลังปลงผมอยู่ริมฝั่งโดยมีนักบวชในชุดเหลืองคอยทำพิธีให้ การได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายในพระแม่คงคาสำหรับชาวฮินดูแล้วถือเป็นการชำระบาป เพื่อให้กลายเป็นคนบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาที่พาราณสีไม่เคยขาด เราวกกลับตามสายน้ำมุ่งขึ้นเหนือ (แม่น้ำคงคาในจุดนี้ไหลวกขึ้นเหนือ) เพื่อมายังท่า “Manikarnika” ซึ่งเป็นท่าสำหรับเผาศพ เป็นการเผาด้วยฟืนมีกองฟืนกองเรียงรายอยู่ริมฌาปนสถาน เช่นเดียวกับศพวันนั้นกำลังเผาอยู่ 2 ศพ และรอคิวเผาอยู่อีก 4-5 ศพ พิธีการดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ญาติเพียงนำศพมาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการฌาปนกิจ คอยกำกับดูแลให้ศพถูกเผาไหม้จนหมดจากนั้นจึงโกยขี้เถ้าลงสู่แม่น้ำคงคา (การลอยอังคาร) เป็นอันเสร็จพิธี เล่ากันว่านับเวลากว่าพันปีแล้วที่แสงไฟจากการเผาศพที่ท่านี้ไม่เคยมอดดับ ปัจจุบันท่าเผาศพบางท่าได้วิวัฒนาการมาใช้แก๊สหรือไฟฟ้าแทนบ้างแล้วทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่ญาติที่มีกำลังซื้อจัดเป็นลูกค้าอีกระดับหนึ่ง ซึ่งการรับฌาปนกิจได้กลายมาเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ดีไม่น้อยไปกว่าการให้เช่าเรือหรือธุรกิจอื่นๆ
ธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่เห็นมีอยู่มากแต่อาจสร้างความรำคาญให้กับนักท่องเที่ยวบ้างคือ การขายของที่ระลึกและการขายปลาเพื่อปล่อยในแม่น้ำคงคา พ่อค้าเหล่านี้จะค้าขายโดยล่องเรือมาประกบกับเรือนักท่องเที่ยวแล้วเกาะติดกันไปตลอดจนกว่าจะขึ้นฝั่ง ความฉลาดที่สามารถพูดไทยได้บ้างบางคำและการรู้จักจริตนิสัยคนไทยทำให้พ่อค้าเหล่านี้ดำรงชีพและหาเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้
บรรยากาศยามเช้าของแม่น้ำคงคาแม้จะดูพลุกพล่านอยู่บ้างแต่ก็ให้ข้อคิดเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตหลายประการ การเปรียบเปรยนรกอยู่ฝั่งหนึ่งสวรรค์อยู่อีกฝั่งหนึ่งเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบาย ความตายเพียงอยู่ใกล้เราแค่เอื้อมศพแล้วศพเล่าที่มอดไหม้ การแข่งขัน การสะสม ท้ายที่สุดแล้วใครก็ไม่สามารถพาอะไรติดตัวไปได้ นั่นต่างหากที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต

คานปูร์ (KANPUR)
หลังกลับมาจากล่องเรือในแม่น้ำคงคา และปล่อยปลาเพื่อเอาบุญสำหรับบางคน เราก็กลับมาเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ ซึ่งเป้าหมายของเราที่ต้องการไปให้ถึงคือ เมืองอัครา ในรัฐอุตรประเทศ (Uttar Pradesh) เช่นเดียวกับเมืองพาราณสี แต่เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ยาวไกลเกือบ 700 กิโลเมตร เราจึงจำเป็นต้องพักแรมระหว่างทางก่อนหนึ่งคืน ตามแผนจุดที่เราจะแวะพักคือเมือง คานปูร์ (Kanpur) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นอุตสาหกรรมใหม่ตอนกลางของอินเดีย
เราเดินทางผ่านท้องทุ่งที่ราบอันกว้างใหญ่ผ่านแหล่งเพาะปลูกเขตเกษตรกรรมของอินเดีย นอกเหนือจากข้าวสาลีแล้วยังมีไร่หอมและมันฝรั่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา น้ำสำหรับทำการเกษตรส่วนใหญ่เป็นน้ำบาดาลที่เกษตรกรสูบขึ้นมาแล้วปล่อยให้ไหลไปตามร่องน้ำในแปลงเกษตร น้อยนักที่เราจะได้เห็นคลองส่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อการเกษตรและชลประทาน ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่ง เราจึงเห็นรถขนมันมาจอดออรอขายที่หน้าโรงงานเป็นทิวแถวคล้ายกับรถบรรทุกอ้อย มันสำปะหลังหรือบรรทุกไม้ยูคาในบ้านเรา
เมื้อเที่ยงระหว่างทางเป็นข้าวกล่องที่นำมาจากโรงแรม เราทานกันง่ายๆ บนรถช่วงที่แล่นผ่านเมือง Allahabad เพื่อทำเวลา ไกด์เล่าว่าเมืองนี้มีความสำคัญเพราะเป็นบ้านเกิดของอดีตผู้นำสตรีของอินเดียที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงเหล็กแห่งเอเชียคือ นางอินธิรา คานธี แห่งครอบครัวเนห์รู อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญเพราะเป็นจุดที่แม่น้ำคงคากับแม่น้ำยมุนาไหลมารวมกัน ที่นี่จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวฮินดู กล่าวคือทุกๆ 12 ปี จะมีชาวฮินดูจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันเพื่อชำระล้างบาปในเทศกาลที่เรียกว่า “Kumbh Mela” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลงานบุญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังภาพข่าวต่างประเทศที่เราเคยรู้เคยเห็น แต่วันนี้ภาพที่เราเห็นมีเพียงสายน้ำขนาดใหญ่ที่แห้งขอด ในทุ่งข้าวสาลีสองข้างทางบางครั้งเราเห็นฝูงนกยูง 4-5 ตัวหากินอยู่ด้วยกันในสภาพตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับนกกระเรียนตีนแดงสีขาวเทาตัวใหญ่ที่จับคู่หากินอยู่ในนา ขณะที่แปลงนาถัดไปชาวนากำลังลงแขกเก็บเกี่ยวมันฝรั่งผลผลิตของตน เป็นสรรพชีวิตที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว มีซากสัตว์ซากวัวควายตายอยู่ริมทางบ้างก็เป็นอาหารอันโอชะของฝูงแร้งกา ซึ่งบินร่อนระบายฟ้าอยู่เบื้องบนรอคอยจังหวะให้รถแล่นผ่าน
เราเดินทางมาถึงชานเมืองคานปูร์ในราวห้าโมงเย็น ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาตั้งแต่พาราณสี มาจนถึงคานปูร์ ผมเก็บงำความสงสัยประการหนึ่งในใจมาตลอด กล่าวคือผมสังเกตเห็นบริเวณย่านชานเมืองตั้งแต่พุทธคยา มาพารณสี และมาถึงคานปูร์ มีการล้อมรั้วก่อกำแพงแบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ ไว้มากมาย แต่หาได้ทำประโยชน์อย่างใดไม่ ความสงสัยมากระจ่างเมื่อย่างเข้าสู่คานปูร์ Deepak ผู้รู้อธิบายว่า นี่คือการจัดสรรที่ดินเพื่อแบ่งขาย หากไม่ล้อมรั้วไว้อาจมีพวกชนเร่ร่อนที่มักจะมาพร้อมฝูงแพะฝูงแกะเข้ามาจับจองอาศัย การจะขับไล่ให้รื้อถอนภายหลังจะเป็นเรื่องยาก แต่หากล้อมรั้วไว้การละเมิดสิทธิ์ก็จะไม่เกิด คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เพราะครุ่นคิดตาม
คนอินเดียที่ยากจนเนื้อตัวมอมแมม ไร้การศึกษาหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ดูไม่น่าจะมีคุณธรรมแต่กลับให้เกียรติเคารพในสิทธิผู้อื่นและเกรงกลัวกฎหมาย ไม่เหมือนผู้คนในประเทศสารขันธ์บางประเทศที่ดูดีมีการศึกษามีวัฒนธรรมที่เจริญกว่าแต่กลับหิวกระหายอดโซ สวาปามไม่เลือกแม้ที่สาธารณะป่าเขาที่ของเขาของเรา... ผมเพียงคิดเปรียบเทียบในใจ
วันนั้นเราเสียเวลากับการควานหาโรงแรมอยู่นานสองนานจากห้าโมงเย็นจนถึงสองทุ่ม เนื่องจากคนขับพาไปผิดเส้นทาง ประกอบกับวันนั้นรถติดขนาดหนักในเมืองคานปูร์เดินหน้าได้ทีละคืบ ขบวนทัพมอเตอร์ไซค์เป็นร้อยเป็นพันขวางปิดทางไว้ แม้ตำรวจจราจร 2 นายจะมาคอยโบกรถเพื่อเปิดทางให้แต่ก็มีมอเตอร์ไซค์คันใหม่ดาหน้าเข้ามาแทน หักเบี่ยงหลบกันคืบต่อคืบ เสียงแตรระงมไหวเพื่อขอทางแต่ดูเหมือนกับไม่มีใครได้ยิน เป็นวิกฤติจราจรที่ใกล้จลาจลที่เราเพิ่งพบเห็นครั้งแรก เป็นอย่างนี้อยู่นานนับชั่วโมง รถจึงค่อยๆ ไหลมาถึงโรงแรม Mandaniki กลางเมืองคานปูร์ หลังอาหารเย็นคืนนั้นซึ่งล่วงเลยมาค่อนดึกทุกคนต่างพากันแยกย้ายเข้าห้องพักอย่างอ่อนล้า

อัครา (AGRA)
วันนี้เป็นอีกวันที่ฝันของใครหลายคนจะเป็นจริง เพราะหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการเดินทางมาครั้งนี้ คือ ทัชมาฮาล (Taj Mahal) เช้ามืดวันที่ 27 มีนาคม 2551 เราลงมาทานอาหารเช้าตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง บางคนบางคู่จึงดูคึกคักเป็นพิเศษที่จะได้เห็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ประมาณเที่ยงของวันเดียวกันเรามาถึงเมืองอัครา สมตามความตั้งใจ
ทัชมาฮาล มีประวัติว่าเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมาพระเจ้าชาชาฮัน (Shah Jahan) กษัตริย์ในราชวงศ์โมกุล ทรงสร้างทัชมาฮาลขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระนางมุมตัส มาฮัล (Mumtaz Mahal) พระมเหสีที่เสียชีวิตหลังจากคลอดบุตรคนที่ 14 เพื่อใช้เป็นสุสานสำหรับเก็บพระศพของนาง โดยพระองค์ทรงใช้ความเพียรพยายามในการสร้างนานถึง 22 ปี จึงแล้วเสร็จ ได้สถาปนิกจากทั้งยุโรปและเอเชีย เช่น จากอิตาลี่และอิหร่าน ใช้แรงงานช่างจากทั้งอินเดียและเอเชียกลางรวมประมาณ 20,000 คน ลักษณะอาคารเป็นรูปทรงคล้ายสุเหร่าสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ความวิจิตรบรรจงอยู่ตรงที่การแกะสลักตกแต่งหินอ่อนด้วยการฝังหินอ่อนสีลงไปในเนื้อหินอ่อนสีขาวเกิดเป็นลวดลายความงดงามที่สุดจะหาใดเปรียบปาน
ภายหลังพระเจ้าชาชาฮันถูกโอรสคือ พระเจ้าอรังกะเซฟ (Aurangzeb) ยึดอำนาจและจับพระองค์ไปคุมขังไว้ที่ป้อมแดงหรือป้อมอัครา (Red Fort หรือ Agra Fort) ซึ่งจากป้อมแดงสามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้อย่างชัดเจนตามแนวฝั่งแม่น้ำยมุนา พระองค์ถูกคุมขังอยู่ที่นี่นานถึง 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ลง ทิ้งมรดกที่เป็นตำนานอันล้ำค่าไว้ภายหลัง ซึ่งวันนั้นหลังจากชมทัชมาฮาลเราไปต่อยังป้อมแดง ป้อมปราการที่แข็งแรงแน่นหนาและใหญ่โตราวกับเป็นเมืองเมืองหนึ่งมีทั้งปราสาทราชวังและมัสยิดอยู่ภายใน สาเหตุที่ได้ชื่อว่าป้อมแดงเพราะสร้างจากหินทรายแดง การก่อสร้างเริ่มต้นในสมัยของกษัตริย์อัคบา ในราว ค.ศ. 1565 และมาแล้วเสร็จในสมัยของหลานคือพระเจ้าชาชาฮัน จึงมีการเปรียบเปรยว่าพระเจ้าชาชาฮัลสร้างคุกไว้คุมขังตัวเองเพื่อรับผลกรรมจากการที่มีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมากระหว่างการก่อสร้างทัชมาฮาล
การเข้าชมทัชมาฮาล ไม่ได้สะดวกสบายมากนัก รัฐบาลอินเดียตรวจตราและคุมเข้มวัตถุระเบิดโดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (กลัวเข้าไปก่อวินาศกรรมแหล่งทำเงิน) หลังจากผ่านด่านการตรวจตราที่แน่นหนาบริเวณซุ้มประตู เราต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทางหามุมเหมาะเพื่อเก็บภาพเก็บความทรงจำ ทั้งมุมใกล้มุมไกลทุกมุมมองของทัชมาฮาลล้วนมีความงดงามที่แตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์สมกับคำยกย่อง มุมใกล้ได้เห็นความประณีตของการแกะสลักหินที่มีอยู่เกือบทุกตารางนิ้ว มุมไกลได้เห็นความอลังการเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบ ทางเดินโดยรอบบนฐานชั้นบนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งมาเดี่ยวที่เป็นครอบครัวและคู่รัก ฉากด้านหลังของทัชมาฮาลเป็นจุดชมวิวงดงามอีกจุดหนึ่ง เมื่อมองเหนือโค้งน้ำยมุนาขึ้นไปทางทิศตะวันตกก็สามารถมองเห็นป้อมแดงได้ในระยะพอเหมาะพอเจาะ ด้านข้างสองฟากของทัชมาฮาลซ้ายและขวาเป็นเรือนรับแขกและเรือนพักของลูกสาวสร้างจากหินทรายแดงตกแต่งปลียอดด้วยหินอ่อนสีขาวนวลแกะสลักขนาบอยู่เคียงข้าง เสริมส่งกันและกันอย่างลงตัว
ครั้นเมื่อเข้าไปภายในห้องโถงรูปโดม เราก็ยิ่งพบเห็นการแกะสลักตกแต่งหินอ่อนที่งดงามและมีความละเอียดประณีตมากขึ้นอีกหลายเท่า โดยเฉพาะโลงศพหินอ่อนแกะสลักสองโลงที่วางอยู่เคียงคู่กัน หนึ่งเป็นของพระนางมุมตัส อีกหนึ่งเป็นของพระเจ้าชาชาฮัน ไกด์ประจำทัชมาฮาลซึ่งนำชมภายในบอกเราว่าโลงศพนั้นเป็นเพียงการสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์แต่พระศพจริงๆ ถูกฝังอยู่ด้านล่าง และยังเล่าต่ออีกว่าหินอ่อนสีที่นำมาตกแต่งลวดลายภายในนั้นนำมาจากทุกมุมโลก เช่น จีน เบลเยี่ยม อิตาลี่ และอิหร่าน บางแผ่นบางด้านใช้เวลาทำนานนับสิบปี
เวลานัดหมายที่เราตกลงกันไว้ก่อนเข้าชมว่าเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เป้าหมายต่อไปคือป้อมแดงจึงต้องนั่งเกร่อรอกันไปรอกันมาเป็นนานสองนานกว่าจะครบและเคลื่อนขบวนได้ แต่ก็กลายเป็นเรื่องดีเพราะที่นี่หลายคนได้ของฝากติดไม้ติดมือไประหว่างรอ
ปีหนึ่งๆ จะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมทัชมาฮาลและป้อมแดงแห่งเมืองอัครา หลายล้านคน ด้วยความน่าอัศจรรย์ของตัวมันเองที่ไม่ต้องสรรค์สร้างปรุงแต่ง ทัชมาฮาลจึงสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับอินเดียและสร้างเศรษฐกิจให้กับเมืองนี้อย่างประมาณค่าไม่ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา (ค่าเข้าชมทัชมาฮาลสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนละ 20 US. ดอลล่าร์) เมืองอัคราจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด โรงแรมใหญ่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่นี่เราได้พักค้างคืนกันที่โรงแรมระดับห้าดาวของเมือง Holiday Inn ซึ่งเป็นเครือข่ายโรงแรมของอเมริกา มาตรฐานตะวันตกปกติลูกค้าหากเดินเข้ามาหาราคาค่าห้องอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 6,000 บาท/วัน เรื่องที่พักสำหรับการเดินทางในทริบนี้ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายจึงค่อนข้างเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่นในเส้นทางสู่โรงแรมที่พัก ผมนั่งนึกอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินไปและเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจว่า...คุณค่าของทัชมาฮาลอยู่ตรงไหน? บทวิพากษ์ทัชมาฮาลคนวิพากษ์ก็มีเหตุผลของตน เช่น ทัชมาฮาลถูกสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจและตัณหาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เบียดเบียนชีวิตแรงงาน ผลาญทรัพยากรไปเท่าไหร่ เป็นต้น ผมไม่ได้เห็นแย้งแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการวิพากษ์เหล่านั้นทั้งหมด คำตอบที่ได้ในห้วงคิดสั้นๆ วันนั้นกลับเป็นอีกมุม... ทัชมาฮาลมีเรื่องราวความเป็นมา ทัชมาฮาลมีความยิ่งใหญ่ ความสำเร็จเกิดจากความเพียรพยายามที่เหลือเชื่อเหนือธรรมดาของมนุษย์ ทัชมาฮาลยังมีอีกหลายคำตอบที่รอการค้นหาในมุมมองที่ต่างออกไป

นิวเดลฮี (NEW DELHI)
คนไทยนิยมเรียกเมืองหลวงของอินเดียว่า นิวเดลฮี (New Delhi) แต่คนอินเดียนิยมเรียกออกเสียงว่า เดลลี หรือ นิวเดลลี เราลาจากเมืองอัคราหลังอาหารเช้าของวันที่ 28 มีนาคม 2551 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงนิวเดลฮี ระยะทางเพียงประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง การจราจรเริ่มติดขัดบ้างเมื่อใกล้เมืองหลวง มีการจอดแวะตรงด่านเพื่อจ่ายค่าผ่านทางเมื่อข้ามรัฐจากรัฐอุตรประเทศเข้าสู่เขตเมืองหลวง ย่านอุตสาหกรรม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเริ่มหนาตาขึ้นตามลำดับ เช่นเดียวกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ตึกรามอาคารสูงๆ เริ่มผุดให้เห็นเป็นระยะๆ
นิวเดลฮี เป็นเมืองหลวงใหม่ที่ถูกออกแบบและวางแผนสร้างอย่างสวยงาม มีถนนเชื่อมต่อกันเป็นตารางโดยมีจุดเชื่อมเป็นวงเวียนและน้ำพุ มีต้นไม้หลายชนิดปลูกไว้เพื่อประดับตกแต่งและให้ร่มเงาริมฟุตบาททางเดิน มีการจัดแบ่งศูนย์การค้าและศูนย์ราชการเป็นสัดส่วน
รถราที่แล่นสวนไปมาอยู่บนท้องถนนของนครหลวงหรือทั่วๆ ไปในเส้นทางที่ผ่านมาหากไม่นับรวมรถมอร์เตอร์ไซค์และรถริกชอว์ (Rickshaw) หรือรถตุ๊กตุ๊ก (ริกชอว์ คือรถสามล้อมีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก สำหรับวิ่งโดยสารในระยะทางสั้นๆ) ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นรถยี่ห้อที่เมดอินอินเดีย คือ “TATA” หนึ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งเอเชียของอินเดีย ที่ปัจจุบันข้ามฝั่งไกลไปเทคโอเวอร์สองบริษัทรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกของอังกฤษคือ จาร์กัว และแลนด์โรเวอร์ ไว้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเดือนก่อนผู้ผลิตรถยนต์ TATA ของอินเดียก็เพิ่งเปิดตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคล TATA รุ่นหนึ่งซึ่งใช้พลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกที่สุดในโลก (ประมาณคันละ 60,000-80,000 บาท) แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาตินิยมอย่างหนึ่งซึ่งเชิดหน้าชูตาทำให้กับชาวอินเดียทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจ
แต่ตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเฝ้ามองอยู่สักเท่าไหร่ ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถปิคอัพสายพันธุ์ใหม่ “TATA ซีนอน” ที่กำลังบุกเบิกตลาดเมืองไทยเลยแม้แต่คันเดียว
เรามีเวลาไม่มากนักในนครหลวงนิวเดลฮี เพียงแค่จากบ่ายถึงค่ำ เราเข้าชมบ้านนางอินธิรา คานธี และนายราชีฟ คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีแม่ลูกที่ต่างถูกลอบสังหารของอินเดีย รวมทั้งบ้านของมหาตมา คานธี ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน รัฐบาลอินเดียได้อนุรักษ์รักษาไว้อย่างดีเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา
Indian Gate หรือประตูชัยของอินเดีย อนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงทหารกล้าที่พลีชีพเพื่อชาติในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดสุดท้ายที่เราแวะชมในวันนั้น บรรยากาศบริเวณรอบๆ Indian Gate มองไปคล้ายกับสนามหลวง เป็นทั้งลานกิจกรรมของครอบครัว ลานเพื่อพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนทั่วไปทุกชนชั้น การละเล่น พ่อค้าหนุ่มตักน้ำจากหม้อดินเดินเร่ขายเป็นแก้วๆ มีลูกค้าอุดหนุนหนาตาเพราะเป็นบ่ายที่อากาศค่อนข้างอบอ้าว พ่อค้ารับเพ้นท์ฝ่ามือคล้ายรอยสักแต่ลบออกได้ง่ายยืนบริการลูกค้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วชำนิชำนาน เรามาใช้เวลาห้วงสุดท้ายก่อนอาหารเย็นด้วยการไปเทกระจาดเงินรูปีออกจากกระเป๋าในย่านการค้าแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังตลาด Chanpath กลางเมืองนิวเดลฮี ทั้งนี้เพื่อต้องการให้น้ำหนักของกระเป๋าและสัมภาระเบาลงก่อนขึ้นเครื่องเพื่อบินกลับ
เช้ามืดวันที่ 29 มีนาคม 2551 สายการบินแอร์อินเดียเที่ยวบินที่ IC 853 นำเราจากชมพูทวีปดินแดนแห่งพุทธภูมิกลับถึงดินแดนสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ เพียงห้าวันของการท่องเที่ยวไปนับเป็นห้วงเวลาที่แสนสั้นนัก ผิวเผินยิ่งดุจนกบินโฉบผ่าน กับการมาเยือนประเทศที่มีพลเมืองมากเป็นอันดับสองของโลก มีภาษาพูดมากกว่า 200 ภาษา มีพื้นที่กว้างขวางเป็นอนุทวีป เป็นแหล่งอารยะธรรมสำคัญแห่งหนึ่งของโลก แม้เพียงแค่นี้เราก็ได้เรียนรู้ได้ข้อคิดและได้ประสบการณ์มากมาย บางเรื่องน่านำไปขบคิดต่อ บางเรื่องตื้นตัน เหลือเชื่อ น่าขำระคนเห็นใจ ครบทุกรส ราวกับเป็นภาพยนตร์อินเดีย (Masala Movies) นำกลับมาเล่ากันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไม่จบไม่สิ้น
หลากหลายมิติที่ได้พบเห็นจากการมาเยือนดินแดนภารตะครั้งนี้ ส่งผลให้ทัศนะท่าทีและความเข้าใจต่อผู้คนบนผืนแผ่นดินที่มีจารีตขนบธรรมเนียมและโครงสร้างทางสังคมที่สลับซับซ้อนยิ่งแห่งนี้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น หลายมิติจะเป็นความทรงจำดีๆ ที่จารึกตรึงแน่นอยู่ในหัวใจของพวกเราตราบนาน
ขอบคุณ อินเดีย ที่สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้ให้
นมัสการ... !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น