วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผีเสื้อราตรีที่ลักษมีโร้ด

ผีเสื้อราตรีที่ลักษมีโร้ด
ฉลอง สุขทอง : เรื่อง/ภาพ

ห้องสี่เหลี่ยมคับแคบ ขนาด 2.5 คูณ 3 เมตร เพดานต่ำปริ่มๆ กับระดับความสูง 180 เซนติเมตร ของผม วางซุกตัวอยู่บนชั้นสามของอาคารสูงสี่ชั้น พื้นผนังภายในห้องถูกฉาบทาด้วยสีฟ้าสดใส ลักษณะถูกแบ่งซอยต่อเติมขึ้นมาใหม่นับจำนวนได้สิบห้องเรียงรายเป็นแถวแนวถัดมาจากห้องโชว์สินค้า ทันทีที่ผมย่างกรายเข้ามาภายในกลิ่นไอแห่งความร้อนอ้าวอึดอัดก็แผ่สัมผัสไปทั่วร่าง ทั้งห้องไม่มีช่องระบายถ่ายเทอากาศ พัดลมเก่าๆ แบบติดผนังทำงานเต็มกำลังส่งเสียงครางดังโกรกกรากยามหมุนส่าย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเพราะมันเป็นเพียงการพัดพาเอาลมร้อนมาให้ พื้นห้องเบื้องล่างถูกเติมเต็มด้วยเตียงเหล็กขนาดเกือบเต็มพื้นที่พร้อมฟูกและผ้าปูที่นอนสีทึมๆ จนพื้นห้องแทบไม่มีที่ว่างหลงเหลือให้พอได้เดินหลบหลีก
เมื่อ “ปูตินา” เดินมาส่งผมที่ห้องเธอก็ขอตัวกลับออกไปเพื่อเตรียมอุปกรณ์บางอย่าง ผมจึงมีเวลาได้สำรวจตรวจตรากวาดสายตาไปรอบๆ ห้องซึ่งได้ชื่อว่าเป็นห้องรับแขก แต่ความจริงที่ได้รับรู้ภายหลัง ห้องนี้มีสถานะมากกว่านั้นเพราะมันเป็นทั้งที่ทำงานและที่พักของเธอและลูกในสลัมโสเภณี “ลักษมีโร้ด” แห่งเมืองปูน่า
ราวสิบนาทีก่อนหน้านี้ ในห้องโถงรวมซึ่งเปรียบเสมือนโชว์รูมสินค้าด้านหน้าสำนัก ทันทีที่แหวกผ้าม่านสีฟ้าหม่นเข้าไปผมก็เห็นเธอนั่งอยู่บนม้านั่งยาวคละเคล้าปะปนอยู่กับเพื่อนร่วมอาชีพอีกกว่า 20 ชีวิต แววตาที่ดูนิ่งและสงบสะดุดใจจนผมต้องหยุดพักสายตาไว้ที่เธอชั่วขณะ
การปรากฏตัวของผมและลูกค้าอื่นอีกสองสามรายที่เข้ามาไล่เลี่ยกันเปลี่ยนแปลงอิริยาบถของหญิงบริการจากกิจวัตรการงานตรงหน้าราวกับเป็นสัญชาตญาณ บางคนหันมาตะโกนส่งเสียงร้องทักพร้อมกับกวักมือเรียกและชี้ไปที่ตัวเองเพื่อชักชวนให้ขึ้นห้อง บางรายที่เหนียมอายเพียงแต่ใช้สายตาเชิญชวน แต่บางกลุ่มบางคนก็หาได้สนใจใส่ใจลูกค้าไม่คงสาละวนอยู่กับการแต่งหน้าแต่งตาดูแลตัวเอง บางคู่ก็ดูแลเปียผมให้กัน
หญิงสาวอีกกลุ่มหนึ่งราว 5-6 คนยังไม่พร้อมจะรับแขก กำลังนั่งล้อมวงเปิบกินอาหารเย็นจากถาดข้าวใบใหญ่กลางพื้นห้อง กับข้าวที่เห็นมีเพียงน้ำแกงสีเหลืองๆ ทำจากถั่วเหลืองที่เรียกกันว่า “ดาล (Dhal)” ราดคลุกเคล้ากับข้าวพอให้ไม่ติดคอ มีจาปาตี 10-20 แผ่น วางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่บนถาดอีกใบหนึ่ง (จาปาตี คล้ายกับโรตีทำจากแป้งสาลีใช้ปิ้งจากกระทะแต่ไม่ใช้น้ำมัน)
แต่ที่กระทบใจผมอย่างแรงและคงบั่นทอนความคึกคะนองของนักเที่ยวคนอื่นๆ ลงด้วย เห็นจะเป็นทารกน้อยเนื้อตัวมอมแมม อายุไม่ถึงปีสองสามราย ที่คลานเล่นไปมาบนพื้นห้อง ส่งเสียงร้องงอแงให้เอาใจตามประสาเด็ก สัญชาตญาณบอกผมว่า เด็กน้อยเหล่านั้นคงเป็นผลิตผลบนความตั้งใจและไม่ตั้งใจของบรรดาหญิงบริการที่นี่
ภาพอย่างนี้เชื่อว่า น้อยนักที่นักเที่ยวในเมืองไทยจะมีโอกาสได้เห็น... เพราะความเรียบง่ายหรือความจัดเจนในเชิงธุรกิจ? ผมเพียงแต่คิดค้างไว้
ผมตื่นสะดุ้งเมื่อใครบางคนมาคว้าแขนและฉุดดึงลงไปนั่งบนม้ายาวใกล้ๆ กับปูตินา เจ้าของมือเป็นหญิงร่างท้วมอายุราว 40 ปี หน้าตาและลักษณะการแต่งกายบ่งบอกชัดว่าเธอไม่ใช่ชาวอินเดียพื้นเมืองในถิ่นแถบนี้ เข้าใจว่าน่าจะมาจากทิเบตหรือเนปาลมากกว่า หลังจากพ่นควันบุหรี่ห้วงสุดท้ายออกจากปากเธอหันมายิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร เผยให้เห็นฟันในปากซี่เล็กๆ สั้นๆ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบแต่สีของฟันออกแดงคล้ำเพราะฤทธิ์ของหมากหรือ “ปาน(paan)” ที่เธอและคนอินเดียทั่วไปนิยมเคี้ยวบวกกับคราบควันจากบุหรี่ เขี้ยวตรงมุมปากเลี่ยมทองไว้เหลืองอร่าม
“ฮินดี?” เธอคาดเดาถูกว่าผมไม่ใช่คนอินเดีย จึงถามทำนองว่าเข้าใจภาษาฮินดีไหม ถามพลางหันไปบ้วนน้ำหมากออกนอกหน้าต่าง ไม่แยแสสนใจว่าจะไปโดนใครเข้า
“ไน -ไม่ได้” ผมปฏิเสธเธอไปเท่าที่พอจะรู้ภาษาฮินดีอยู่บ้างคำสองคำ
คำตอบเสียงแปล่งของผมทำให้เธอหัวเราะออกมา ก่อนที่จะหันมาบอกกับกับปูตินาด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ ทำนองให้เป็นผู้ต้อนรับขับสู้ดูแล ก่อนที่จะหันเหไปทักทายลูกค้ารายใหม่
ประสบการณ์ที่มีติดตัวมา สอนผมให้รู้ว่าบทบาทของ มาม่าซังหรือคนเชียร์แขกมีความสำคัญมากเพียงใดต่อธุรกิจประเภทนี้ จนอาจกล่าวได้ว่าธุรกิจประเภทนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของมามาซัง เหมือนกับที่เตือนให้ผมระแวดระวังตัวทุกครั้งเมื่อมายังสถานบริการแบบอย่างว่า ด้วยในทุกๆ ที่มักจะมีกลุ่มแมงดาหรือนักเลงคุมซ่องที่คอยสร้างความรำคาญและอาจเป็นอันตรายแก่ลูกค้าที่มาเที่ยวหรือกับคนทั่วไปได้เสมอ
แต่สำหรับที่นี่ ลักษมีโร้ด ถนนสายโลกีย์แห่งเมืองปูน่า ผมแยกไม่ออกว่าผู้ชายที่เดินเข้าเดินออกในซอยเป็นบรรดานักเที่ยวที่มาหาความสุขหรือแมงดาคุมซ่อง ได้เพียงแต่คอยระวังตัวไว้

“ลักษมีโร้ด” เป็นชื่อถนนสายเล็กๆ ในย่านที่มีคนพลุกพล่านจอแจมากที่สุดแห่งหนึ่งกลางใจเมืองปูน่า ถนนเก่าแก่เส้นนี้ตัดผ่านหน้าพระราชวัง “Shanwarwada Palace” ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1736 ธุรกิจหลากหลายประเภทมาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ ตามซอยต่างๆ ที่แยกออกจากถนนเส้นหลักมักประกอบธุรกิจคล้ายๆ กัน แบ่งแยกเป็นโซนๆ มีทั้งโซนเสื้อผ้า โซนอาหาร ผลไม้ และข้าวของเครื่องใช้เรียงรายกันไป หากสัญจรผ่านถนนลักษมีก็จะเห็นมีธุรกิจที่ว่ากระจัดกระจายอยู่ทั้งสองฟากฝั่งถนนคล้ายกับเป็น One-stop Shopping แห่งเมืองปูน่า
ธุรกิจโลกีย์ที่ลักษมีโร้ดครอบคลุมอาณาบริเวณ 3-4 ซอยต่อกัน แยกตัวออกมาไม่ไกลนักจากถนนใหญ่ ตัวตึกในซอยส่วนใหญ่เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้สภาพเก่าแก่ทรุดโทรมและต่อเติมไว้ระเกะระกะ สถานบริการเหล่านี้เปิดทั้งกลางวันและกลางคืนแทบจะไม่มีเวลาหยุดพักผ่อน ตกกลางคืนสีสันจากโคมไฟหลากสีละลานตาช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ยิ่งดูคึกคัก
ชายระเบียงชั้นบนของตัวตึกแต่ละหลังถูกออกแบบเหมือนเป็นกรง ทำจากเหล็กหรือไม้ ภาษาฮินดีเรียกว่า “ปัญชะระ” มีไว้เพื่ออวดโชว์สินค้า ซึ่งแต่ละสำนักนางโลมจะคัดเอาผู้หญิงที่สาวและสวยที่สุดมาอวดโฉม เสนอหน้าสลอนอยู่ในกรงที่เสมอกับแนวถนน คอยเรียกร้องเชื้อเชิญลูกค้าที่เดินผ่านไปมาให้แวะหา
มีผู้เปรียบเปรยว่า ลักษมีโร้ดยามกลางวันเปรียบได้กับสวรรค์ของนักช้อป ครั้นตกกลางคืนก็แปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์ของนักเที่ยว ผมไม่เห็นแย้งกับความคิดนี้แต่อย่างใด

“ขอถ่ายรูปได้ไหม”
ผมเปิดฉากการสนทนาเมื่อเธอกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่พูดเปล่าผมเปิดเป้สะพายหลังหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ชีพขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่ตัวเธอด้วยเกรงว่าภาษาอังกฤษที่เราสื่อสารกันอยู่นั้นอาจทำให้เธอไม่เข้าใจ
แทนคำตอบ เธอส่ายหน้ารุนแรงและโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนอธิบายบอกเหตุผลซ้ำด้วยภาษาอังกฤษซึ่งแข็งแรงเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้ (อากัปกิริยาส่ายหน้าเบาๆ ของคนอินเดียหมายถึงการตกลงเห็นด้วย แต่การส่ายหน้าอย่างรุนแรงมีสีหน้า แววตาและมือไม้ประกอบแสดงให้เรารู้ว่านั่นเป็นการปฏิเสธ)
ท่าทีและคำตอบของเธอทำให้ผมได้คิดต่อว่า การค้าบริการทางเพศ (Sex Trade) ในอินเดียก็คงไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศในเอเชีย ที่ธุรกิจนี้ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การเปิดเผยตัวตนกับคนแปลกหน้าย่อมไม่เป็นการดีแน่ จัดเป็นเศรษฐกิจนอกระบบหรือธุรกิจใต้ดิน (Underground Economies) เช่นเดียวกับการค้าอาวุธ การค้ายาเสพติด การพนัน หวยใต้ดินฯลฯ แต่มีมูลค่าการตลาดมากมายนับหมื่นล้านบาทต่อปี องค์กรแรงงานสากล (International Labor Organization : ILO) เคยยืนยันว่า ประเทศในเอเชียมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริการทางเพศประมาณ 2-14 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ
แนวคิดที่จะขุดเอาธุรกิจนี้ขึ้นมาอยู่บนดินและทำให้ถูกกฏหมายคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและเกี่ยวพันอยู่กับผู้ทรงอิทธิพลหลายกลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เจ้าของสถานบริการ นักค้ามนุษย์ ไปจนถึงนักเลงคุมซ่อง ซึ่งเคยได้ผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ อีกฟากหนึ่งในอินเดียเองกลุ่มสิทธิมนุษยชนกับกลุ่มสิทธิสตรี ก็ยังมีท่าทีไปกันคนละทางต่อสถานะของธุรกิจนี้ เต็มที่ก็คงดึงขึ้นมาได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ต่างไปจากอีกหลายๆ ประเทศ
หลังจากบอกพื้นเพและเป้าหมายการมาที่นี่ของตัวเองให้เธอฟังเพื่อแสดงความจริงใจต่อเธอ กับเงินอีก 500 รูปี ที่ผมควักและยื่นส่งให้เพื่อเป็นสินน้ำใจ เธอดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงและง่ายขึ้นต่อคำร้องขอ
“บ้านอยู่ไหน-ผมหมายถึงบ้านเกิด”
“เนปาล” เธอตอบเพียงสั้นๆ พลางก้มหน้าต่ำ
บนพื้นตรงมุมห้อง เป็นถังขยะสีดำ ก้นถังมีถุงยางอนามัยใช้แล้วจำนวนหนึ่งถูกห่อกระดาษทิ้งไว้อย่างลวก ๆ หล่นอยู่เกลื่อนพื้น ผสมผะเสกับคราบน้ำหมากที่นักเที่ยวบ้วนทิ้งไว้
อินเดียกับเนปาลเป็นเหมือนประเทศบ้านพี่เมืองน้องเช่นไทยกับลาว เนปาลอาศัยเมืองท่าของอินเดียรับและส่งสินค้าไปยังประเทศของตน ประชากรของสองประเทศหลั่งไหลไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ชาวเนปาลกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาฮินดีได้เนื่องจากอิทธิพลของสื่อ ประกอบกับอินเดียเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยและเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจของเอเชียใต้ แรงงานทุกประเภทจึงทะลักข้ามพรมแดนมาจากประเทศเพื่อนบ้านตามดีมานด์ของตลาด ซึ่งไม่เพียงแรงงานจากเนปาลเท่านั้น แต่รวมทั้งจากธิเบตที่มีปัญหาภายในประเทศ จากบังคลาเทศ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อินเดียจึงเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ในเอเชียใต้ให้น้องๆ ได้พึ่งพิง
จะว่าไปแล้วอินเดียเองก็มีปัญหามากมายที่ต้องแบกรับอยู่เช่นกัน อาทิ ปัญหาประชากรล้นประเทศ ตามติดมาด้วยปัญหาความยากจน กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของคนอินเดีย (อินเดียมีประชากรทั้งหมดประมาณ 1,100 ล้านคน) มีฐานะยากจน ในจำนวนนี้ราว 300-400 ล้านคน ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเงินประมาณวันละ 40 รูปี
นอกจากนั้น สถานะและชนชั้นของผู้คนในอินเดีย ซึ่งถูกแบ่งโดยชาติพันธุ์วรรณะและการนับถือศาสนาก็เป็นอุปสรรคสำคัญอีกอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ผลพวงจากจารีตประเพณีและความเชื่อทางศาสนาทำให้เพศหญิงในสังคมอินเดียคล้ายกับถูกกักกันไว้ในอีกสถานะหนึ่ง ผู้หญิงวรรณะต่ำในชนบทหรือในสลัม ชีวิตเธอจะถูกครอบงำและขีดเส้นให้เดินจนแทบไม่มีโอกาสได้เลือกทางเดินให้กับชีวิตตนเอง หญิงสาวอายุน้อยบางรายถูกบังคับให้แต่งงานกับชายสูงวัยที่มีฐานะดี หรือแต่งกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวตะวันออกกลาง บ้างก็ถูกพ่อแม่ตนเองหรือสามีบังคับให้ค้าประเวณีโดยขายให้กับซ่อง เพื่อนำเงินมาช่วยพยุงฐานะของครอบครัว
ส่วนหญิงสูงอายุและมีครอบครัวแล้ว ดังเช่นที่เคยตกเป็นข่าว หญิงในหมู่บ้านหนึ่งของเมือง “วัลลิวักกัม” ในรัฐทางตอนใต้จำต้องยอมแลกขายไตเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ของครอบครัว แม้การค้าขายอวัยวะของมนุษย์จะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งธุรกิจดังกล่าวได้ เช่นเดียวกับการค้าประเวณีที่ยังคงเป็นทางออกหนึ่งสำหรับสตรีอินเดียที่ไม่มีทางเลือก
ด้วยเหตุนี้ธุรกิจค้ากามจึงมีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่งตามเมืองใหญ่ๆ นับเนื่องไปจากชายฝั่งอ่าวเบงกอลจนจรดทะเลอาหรับ ตลาดนี้ไม่ได้หวงแหนไว้สำหรับสตรีอินเดียเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งขุดทองให้กับสตรีจากอีกหลายประเทศในภูมิภาค
เช่นเส้นทางชีวิตของเธอ... “ปูตินา” หญิงสาวจาก กาฎมัณฑุ (Katmandu) เนปาลกับอาชีพค้ากามในสลัมโสเภณีที่อินเดีย วันนั้นเธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวการผจญภัยที่ทรหดของชีวิตเล็กๆ จากหลืบลึกแห่งหุบผาหิมาลัยให้ฟัง…

เกือบสิบปีก่อนเธอเดินทางจาก กาฎมัณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ด้วยระยะทางกว่า 1,600 กิโลเมตร มุ่งหน้าลงใต้ด้วยความสมัครใจตามคำชักชวนของเพื่อนและแรงหนุนส่งจากพ่อแม่เพื่อช่วยหาเงินมาจุนเจือครอบครัว โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองใหญ่มุมไบหรือบอมเบย์ เมืองใหญ่ชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันตกของอินเดีย
เธอเริ่มงานแรกที่นั่นด้วยตำแหน่งงานช่างสีในโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ สร้างรายได้ให้เธอวันละ 35 รูปี (ประมาณ 20 บาทกว่าๆ) แม้จะมีที่พอได้ซุกหัวนอนแต่ก็ไม่เพียงพอต่อการยังชีพอยู่ เธอจำต้องดิ้นรนหางานใหม่ งานใหม่ที่ได้คือคนรับใช้ในบ้านของผู้ดีมีการศึกษา ซึ่งที่นี่เองเธอมีโอกาสได้ฝึกเรียนภาษาอังกฤษไว้สื่อสารกับนายจ้าง แม้ความเป็นอยู่จะสบายแต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อภาระส่งเสียให้กับทางบ้าน สุดท้ายเธอจึงหนีออกมาเพื่อโอกาสข้างหน้าที่อาจดีกว่า แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ลูกโป่งชีวิตเธอจึงล่องลอยระเหเร่ร่อนไปเพราะไม่มีงาน สุดท้ายมาลงเอยที่อาชีพขายบริการอยู่ในย่านถนน “ฟอล์คแลนด์” ของมหานครมุมไบ
ที่นั่นเธอพบว่าเพื่อนร่วมอาชีพเกือบครึ่งหนึ่ง จากที่มีอยู่ทั้งหมดราว 50,000 คน เป็นเพื่อนร่วมชาติของเธอ จำนวนหนึ่งมาจากธิเบตและที่เหลือเป็นชาวอินเดียพื้นเมืองจากรัฐต่างๆ สังคมใหม่ที่นี่ทำให้เธอรับรู้ความจริงว่า เพื่อนร่วมอาชีพและร่วมชะตากรรมของเธอบางคนถูกนักค้าผู้หญิงล่อลวงมา บ้างก็ถูกสามีหรือพ่อแม่ขายให้กับซ่องโดยตรง
ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดทรุดโทรม การถูกทารุณ โรคเอดส์และโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ภาวะทุโภชนาการ และการขาดการรักษาพยาบาล ทำให้อายุของเหล่าหญิงขายบริการที่นี่มีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 50 ปี
เวลางานตามปกติของเธอเริ่มตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงเที่ยงคืนเศษโดยไม่มีวันหยุด วันหยุดอย่างเป็นทางการของเธอคือวันที่มีประจำเดือน เธอรับแขกเฉลี่ยวันละประมาณ 10 ราย ด้วยอัตราค่าบริการต่อครั้ง 100-150 รูปี ซึ่งเธอต้องแบ่งหารรายได้ครึ่งหนึ่งให้กับเจ้าของสำนักเพื่อเป็นค่าที่พักและอาหาร
เมื่อสี่ปีก่อนเธอวางแผนคุมกำเนิดผิดพลาดเกิดตั้งท้องขึ้นมา เป็นผลให้เธอต้องหยุดงานและขาดรายได้ไปนานร่วม 6 เดือน หลังคลอดเธอจึงพาลูกชายอพยพลงใต้มาปักหลักหาที่อยู่ที่ทำกินใหม่คือที่นี่ “ลักษมีโร้ด” ที่เธออยู่มาจนถึงทุกวันนี้
วันนี้ในวัยสามสิบเศษเธอยังคงทำงานหนักเช่นเดิม แม้ร่างกายจะทรุดโทรมลงไปมากด้วยโรคเกี่ยวกับภายในของสตรีที่เธอบอกว่าไม่รู้จะมาคร่าเอาชีวิตของเธอไปในวันไหน เธอจึงเลิกฝันถึงอนาคต คิดแค่มีชีวิตอยู่ชั่วโมงต่อชั่วโมง หวังเพียงหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงจิตใจทำให้เธอมีกำลังใจยืนหยัดอยู่ได้ก็คือ “บิเน” สายเลือดที่ได้มาจากความไม่ตั้งใจคนนั้น
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นแทรกจังหวะการสนทนา ปูตินาถลันเอี้ยวตัวหมุนลูกบิดประตูแง้มออก ทันใดสายตาของผมก็ไปประสานเข้ากับแววตาสุกใสของเด็กผู้ชายอันเป็นที่มาของเสียงเพียงชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่หนูน้อยอายุราว 4-5 ปี เนื้อตัวและเสื้อผ้ามอมแมมคนนั้นจะเบี่ยงตัวเองหลบไปอีกด้านของบานประตู หนูน้อยคงเห็นจนชินตาแล้วว่าเวลางานของแม่คือการอยู่กับชายแปลกหน้าในห้องพักของเขาและแม่ ดูท่าทางหากไม่จำเป็นหนูน้อยคงไม่อยากมารบกวนเวลาทำงานของแม่
“บิเน” เธอบอกผม หลังจากพูดคุยซุบซิบเชิงตำหนิกับหนูน้อยอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะควักหยิบเงินจำนวนหนึ่งยื่นส่งให้ จากนั้นได้ยินเสียงหนูน้อยวิ่งลงบันไดลับหายไป
ลำแสงแห่งวันเพิ่งจะเลือนหายจากขอบฟ้าไปไม่นาน ม่านแห่งราตรีกาลค่อยคืบคลานมาแทนที่ ดวงไฟในซอยเริ่มทอประกายแสงระยิบระยับสุกใสแข่งกับแสงแห่งดวงดาวตามองศาต่างๆ ของม่านฟ้ารูปวงโค้งสีมลังเมลือง ผีเสื้อราตรีนับหมื่นตัวโผล่ออกมาจากรวงรัง โบยบินอวดปีกงามฉวัดเฉวียนล้อแสงไฟ นักท่องราตรียามนี้เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง องศาแห่งความใคร่เริ่มไต่ทะยานพวยพุ่ง
กลางซอยที่ผู้คนพลุกพล่าน ผมพาตัวเองแหวกผ่านม่านนักเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่เดินสวนมา ด้วยอารมณ์ที่สรวลเสเฮฮาคึกคะนองดุจกระทิงเปลี่ยว คำร้องทักเชิญชวนของเหล่าผีเสื้อราตรียังดังออกมาจากสองฟากฝั่งถนน แต่ตัวผมเวลานั้นอาการคล้ายกับไร้ตัวตน ล่องลอยแหวกฝ่าไปราวกับกลุ่มควัน โสตสัมผัสลางเลือนเหมือนไม่ได้ยลยินสิ่งใด...
เรื่องราวและฉากชีวิตหลังประตูบานนั้นยังก้องกังวานอยู่ในทุกอณูของโสตประสาท!!

“ ถ้าวิถีชีวิตของคนเราเปรียบดั่งเส้นทาง…
ย่อมมีทั้ง...ขรุขระ ราบเรียบ...สั้นยาว แคบกว้าง…….
และมีทิศทางต่างกันไป
อย่าบอกว่าใครเลือกทางผิด คิดสั้น เมื่อเขาคนนั้น…….
อาจไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือก...”

ค่ำวันนั้น... ผมเดินตัวเบาออกมาจากซอยโลกีย์ที่ชื่อลักษมีโร้ด แต่ภายในใจและสมองกลับหนักอึ้ง!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น